ในช่วงเวลาของการเติบโตของผู้เขียน เรื่องราวของชีวิตในช่วงทศวรรษที่ 90 เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สนุกที่สุดช่วงหนึ่ง เรามักได้ยินคำพูดที่ว่า “เด็กยุค 90 มันน่าอิจฉา” ผมคงไม่ปฏิเสธ และหากเลือกเกิดได้ก็ยังคงอยากเกิดในยุคนี้ ยุคที่เราเกิดในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 และเรียนรู้ชีวิตช่วงต้นในต้นทศวรรษที่ 90 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกมากมาย เราได้อยู่ในวันที่ อนาล็อคของเมือง และ ดิจิตอลครองโลก ในแบบที่เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกับคนทั้งโลก หลายเรื่องเรา “โลกแคบ” เพราะความรู้จากรอบโลกมันมาไม่ถึง เรารู้เพียงต้นทาง-ปลายทางของเรื่องราว แต่เราไม่รู้ “ระหว่างทาง” นั้นเลย เรื่องของวงการฟุตบอลก็เป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้นที่คนยุคของเรายังไม่สามารถรู้อะไรได้มากนัก
EL CASE FIGO หรือในชื่อภาษาอังกฤษ THE FIGO AFFAIR คือภาพยนตร์สารคดีเรื่องใหม่ของ Netflix ที่บอกเล่า “ระหว่างทาง” ของการย้ายทีมที่เรียกว่ายิ่งใหญ่ที่สุด – อัปยศที่สุด และสะใจที่สุด ของการย้ายทีมในการเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ และส่งให้ หลุยส์ ฟิโก้ กลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกคนใหม่ทันที
เรื่องราวของการไม่ให้เกียรติ (Respect) เงินตรา (Money) อำนาจ (Power) และการเมืองภายในองค์กร (Politics) นำมาซึ่งเรื่องราวที่เต็มอิ่มตลอด 1 ชั่วโมง 40 นาที ที่บอกเล่าตั้งแต่วันแรกของการย้ายสู่บาร์เซโลน่า ถึงการชูเสื้อหมายเลข 10 ของเรอัล มาดริดของดาวเตะโปรตุกีส เมื่อค่าฉีกสัญญาที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าจ่าย ดันมีคนพร้อมจ่ายขึ้นมา และทีมนั้นดันเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดกาล
“รักมาก แค้นมาก” เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนในสารคดีนี้ เมื่อคนที่คุณรักย้ายไปอยู่กับคนที่คุณเกลียดที่สุด นั่นก็หมายความว่าเขาเปลี่ยนใจจากคุณไปแล้วชั่วนิรันดร์ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นไม่มีวันกลับมาได้ดังเดิม แต่ชีวิตของทุกคนต้องเดินหน้าต่อไปในเส้นทางที่เลือกแล้ว
“มาดริด ไอ้ขี้แย กลับมาคารวะแชมป์ซะ” หลุยส์ ฟิโก้ เคยกล่าวไว้ในวันฉลองแชมป์กับบาร์เซโลน่า และมันกลายเป็นเหมือนคำสัญญาในความรู้สึกว่าเขาจะไม่ไปสวมชุดขาวของเรอัล มาดริด ก่อนที่ในอีกไม่กี่ปีต่อมา เขากลายเป็น “ดวงดาว” ดวงแรกในยุคของ Galactico (กาลาคติกอส) ของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด และพาทีมประสบความสำเร็จมากมายตลอด 5 ปี
ในชีวิตคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่ได้เห็นความเกลียดชังอย่างรุนแรงในสนามฟุตบอล เราคงไม่เห็น “หัวหมู” ถูกโยนลงมาสนามฟุตบอลกันได้บ่อย แต่ในเกมแรกของ หลุยส์ ฟิโก้ กลับมาเยือน คัมป์ นู (ในสเปนอ่านออกเสียง กัมป์ โนว) เขาได้รับมันเพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกถึงความเป็นไอ้คนทรยศในสายตาของสาวกบาร์ซ่า ไม่รวมถึงสิ่งของมากมายที่ถูกขว้างปาลงมาในสนาม ตำรวจหลายร้อยนายในชุดควบคุมฝูงชนต้องเข้ามาดูแลนักเตะเพื่อให้เกิดอันตรายของความบ้าคลั่ง และเกลียดชัง
ในรายละเอียดเราจะไม่กล่าวถึงเนื้อหาภายในเพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชม แต่เราสามารถบอกได้เลยว่า นี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สารคดีที่ดีมากเรื่องหนึ่ง เมื่อคุณสามารถนำพาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยตรงทั้งตัว หลุยส์ ฟิโก้ ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งบวกและลบโดยตรงกับการย้ายทีมครั้งนี้, ฟลอเรนติโน่ เปเรซ และ โจน กาสปาร์ต สองประธานสโมสรเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ในยุคนั้น ไปจนถึง โชเซ เวก้า และ เปาโล ฟูเตร้ ในฐานะของเอเยนต์ และคนที่ช่วยให้ดีลนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการฟุตบอล มานั่งบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวให้ได้ฟังจากปากของพวกเขา มันจะกลายเป็นเสมือนหลักฐานสำคัญของเรื่องราวนี้ตลอดไป แม้กระทั่งในวันที่พวกเขาจากโลกนี้ไป
แม้จะผ่านไปนานถึง 22 ปีแล้วกับการย้ายทีมครั้งนี้ เราอาจได้เห็นการย้ายทีมระดับค่าตัวแพงมหาศาลทะลุหลายร้อยล้านยูโร ได้เห็นดาวเตะระดับโลกทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด และร่วงหล่นไปตามกาลเวลา แต่สำหรับการย้ายทีมครั้งนี้ มันพิเศษสุดที่ไม่รู้จะอีกเมื่อไรเราจะได้เห็นเรื่องราวแบบนี้อีก