กรานิท ชาก้า (29 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) กองกลางอาร์เซนอลยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจอำลาทีมแล้วหลังจากมีปัญหากับแฟนบอลของทีมในช่วงปี 2019 โดยเขากล่าวผ่านทาง Player Tribune และอีกหลากหลายเรื่องราวที่ทั้งเคยกล่าวถึงมาแล้ว และยังไม่เคยกล่าวถึงมาก่อน
บทความนี้ส่วนหลักมาจากเว็บไซต์ด้านบน อย่างไรก็ตามก็มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากบทสัมภาษณ์อื่นบางส่วน และจากความทรงจำของผู้เขียนในช่วงเวลาบางช่วงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นับเป็นครั้งแรกที่เขากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องราวตลอดเกือบสองปีครึ่ง นับจากวันที่เกิดเรื่องในเดือน ตุลาคม 2019 ในเกมที่พบกับ คริสตัล พาเลซ ซึ่งทำให้ชีวิตของ ชาก้า ในอาร์เซนอล เกิดเรื่องมากมายนับจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการโดนแฟนบอลขู่ฆ่า เหยียดหยามไปถึงครอบครัว รวมถึงการหลุดจากตำแหน่งกัปตันทีมอาร์เซนอล ซึ่งเขาเพิ่งได้รับการแต่งตั้งในฤดูกาลนั้นอีกด้วย
“คุณรู้ไหมวันนั้นที่เกิดเรื่อง ครอบครัวของผม และเอเยนต์ของผมทุกคนมาชมเกมในวันนั้นด้วย เพราะผมจะมาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการต่อสัญญาใหม่ ซึ่งจะมีการคุยกับบอร์ดบริหารในวันต่อมา สุดท้ายเกมนั้นเราไม่ได้อยู่กระทั่งเกมจบด้วยซ้ำ ระหว่างเดินทางอยู่บนรถไม่มีใครพูดอะไรเลยเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมเป็นคนขับรถ ไม่มีการโทรศัพท์ ไม่มีการพูดคุย และผมเป็นคนแรกที่เปิดการพูดคุย ผมคุยกับแม่ เธอบอกผมว่า ผมอยากกินอะไร ผมรู้แหละว่าแม่ผมต้องการดูแลปลอบผม แต่ในแววตาของเธอก็มีความหม่นหมองอยู่”
“ต่อมาผมได้รับสายหลายสายจากทั้ง เฮตตอร์ เบลเลริน, แบนด์ เลโน่ และ เอดู กาสปาร์ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่พอผมได้คุยกับพ่อ ผมได้ยินในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน เขาบอกกับผมว่า “ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
คุณรู้ไหมมันหมายความว่าอย่างไร…
1986; ประเทศยูโกสลาเวีย
เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาด้วยอายุเพียง 21 ปี และเพิ่งหมั้นหมายกับคนรัก หนึ่งเดือนต่อมา เขาถูกคุมขังด้วยข้อหาต่อต้านรัฐบาลเรื่องของเอกราช และเสรีภาพในโคโซโว เขาติดคุกโดยที่คู่หมั้นของเขาไม่มีวันรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อไรชายคนรักจะได้รับอิสรภาพ แต่เธอก็รอคอยจนกระทั่งสามปีครึ่งผ่านไป ชายคนรักกลับมาได้อิสรภาพอีกครั้ง พวกเขาตกลงแต่งงานกันทันที และย้ายไปอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์
“ในฐานะลูกชายของเขา มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกกับมันอย่างมาก มันอยู่ในหัวใจของผมเสมอ พ่อไม่เคยบอกอะไรกับผมทั้งหมดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย และผมคงไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวนี้แน่ ในทางกลับกันผมเคารพในความรักของแม่ที่มีต่อพ่ออย่างมาก พ่อกับแม่รู้จักกันแค่สามเดือน ก่อนที่พ่อจะโดนจับ และแม่ก็ยังคงรอคอยพ่อเสมอแม้จะต้องรอนานถึง 3 ปีครึ่งก็ตาม เธอคือบุคคลที่ผมยกย่องเสมอ ซึ่งนั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงเกิดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์”
“ทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ทุกครั้งในชีวิตการเล่นฟุตบอล ผมอยากเลิกหลายครั้ง และทุกครั้งพ่อผมจะพูดแบบเดิมทุกครั้งว่า “อย่าเดินหนีปัญหา” จงทำงานหนักต่อไป นั่นคือสิ่งที่เขาพูดเสมอ ตอนผมอายุ 14 ผมตัวเล็ก ผอมมาก โค้ชฟุตบอลต่างบอกว่า เทาลองต์ พี่ชายผมมีความสามารถอย่างไรบ้าง แต่พอมาพูดเกี่ยวกับผม ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่า “ฟังนะ นายไม่มีวันจะได้เป็นนักเตะอาชีพหรอก” นั่นคือนิยมของตัวผมที่ได้รับ ต่อมาตอนอายุ 15 ผมมีเจอกับอาการบาดเจ็บ เอ็นไขว้หน้าหัวเข่า ต้องพักนานถึง 8 เดือน กลับมาลงสนามอีกครั้ง ผมกลายเป็นคนกลัวกับอาการบาดเจ็บ กลัวกับการเข้าปะทะ และผมโดนด่าโดนดูถูก “เอ็งมันน่าขายหน้า” “จะเล่นต่อไปทำไมเสียเวลาเปล่า” ณ เวลานั้นผมเตรียมที่จะฝึกงานในสำนักงานสักแห่งแล้วเพื่ออนาคตในการทำงานในชีวิตจริง”
“แต่แล้วในเกมหนึ่ง มีจังหวะ 50-50 และผมก็ตัดสินใจ เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน เหมือนเล่นโป๊กเกอร์ ที่คุณจะเสี่ยงหรือว่าหมอบ นั่นคือแนวทางที่ผมเล่น ดังนั้นผมก็เลือกเสี่ยง และหัวเข่าของผมรู้สึกดีมาก นั่นทำให้ผมเปลี่ยนทุกอย่างไปเลย ผมกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจมาก ผมสามารถลงเล่นได้ในเกมฟุตบอลได้ตามปกติแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป