อาการบาดเจ็บในวัยเด็กครั้งใหญ่ เมื่อตอนอายุ 15 ปี ส่งผลให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป การกลับมาลงสนามอีกครั้งที่ก้าวข้ามความกลัว ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น การลงเล่นในทีมเยาวชนของสโมสรบาเซิ่ล หนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมากในการพัฒนาการเล่นของเขาเรื่อยมา และแน่นอน มันทำให้เขาก้าวไปสู่อีกขั้นนั่นคือการลงเล่นในระดับทีมชาติชุดเยาวชน และได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก ชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี ที่สวิสเซอร์แลนด์
ก้าวไปสู่การเป็น “แชมป์โลก” ด้วยการเอาชนะไนจีเรีย เจ้าภาพ และยังเป็นแชมป์เก่า ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่ง 13 ปีผ่านไป นักเตะหลายคนในทีมชุดนั้นกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ฮาริส เซเฟโรวิช [เบนฟิก้า], ริคาร์โด้ โรดริเกวซ [โตริโน่] หรือว่า ชาริล ชัปปุยส์ ซึ่งต่อมาลงเล่นกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ส่วน กรานิท ชาก้า ในฐานะกองกลางของทีม ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป
“ผมติดทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีของสวิสเซอร์แลนด์ ผมไม่เคยติดทีมชาติมาก่อนเลย และผมโชคดีมากที่ได้รับโอกาส เพราะผมได้รับเลือกจากการที่คนก่อนหน้านี้มีอาการบาดเจ็บ ทีมชาติเลยเรียกผมติดทีมไปแทน เราลงเล่นในฟุตบอลโลกอายุต่ำกว่า 17 ปี มันส่งผลต่ออาชีพของผมมาก เพราะมันคือโอกาสที่ทำให้ผมย้ายไปเล่นกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค”
ชาก้าด้วยวัยเพียง 20 ปี ย้ายจาก บาเซิ่ล ไปร่วมงานกับ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์ ในบุนเดสลีกา เยอรมัน ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับบ้านเกิดของเขา แต่ในเรื่องของวงการฟุตบอล บุนเดสลีกา นั้นเหนือกว่า สวิส ซูเปอร์ ลีก ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกันแบบคนละคลาส กระดูกคนละเบอร์กันเลย และแน่นอน “เด็กใหม่” อย่างเขาต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอจะเล่นในลีกใหญ่นี้ได้ โดยการย้ายทีมครั้งนั้น มีค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าสูงพอสมควรสำหรับนักเตะสวิสเซอร์แลนด์คนหนึ่ง แต่มันคือค่าตัวแพงลำดับสองของ กลัดบัค เคยเซ็นสัญญานักเตะมาร่วมงานด้วย
“ผมย้ายไปที่กลัดบัค มันเป็นความท้าทายใหม่ที่ 6 เดือนแรกของผม คือการนั่งสำรองไม่ก็ไม่มีชื่อลงเล่น 10 เกมแรกของบุนเดสลีกา ผมนั่งข้างสนามทุกเกม ผมสติแตกเลยล่ะ ผมอยากย้ายออกตอนตลาดการซื้อขายเดือนมกราคม ผมบอกกับพ่อของผมว่า ผมอยากลงเล่นมากกว่านี้ สุดท้ายสิ่งที่ผมได้รับคือคำว่า “หุบปาก” ก่อนที่พ่อจะบอกว่า มันไม่ใช่หนทางของการต่อสู้ ประตูทางออกเปิดเสมอ ใครก็สามารถเดินออกไปได้ทั้งนั้น เมื่อไรก็ได้ แต่การที่จะทำอย่างไรให้ตัวเองไม่ต้องออกไป และการทำอย่างไรให้ตนเองอยู่ต่อ โดยที่เหนือกว่าผู้อื่นในทีมมันยากกว่ากันเยอะ แน่นอนผมเชื่อมั่นในตัวของเขา พ่อเหมือนโค้ชฟุตบอลของผมคนหนึ่ง เขาวิเคราะห์เกมของผม เรานั่งคุยกันเรื่องฟุตบอล เขาวิจารณ์การเล่นผมตลอด ต่อให้ผมยิงได้สองประตูในเกมก่อนหน้านี้ ผมก็ยังจะโดนติติงเรื่องการยืนตำแหน่งอยู่ดี แต่เชื่อไหม 90 % ที่เขาพูดถึงผม …เขาพูดถูก”
“6 เดือนแรกที่ไม่ได้ลงเล่นทำให้ผมพยายามอย่างมากในการลงเล่นตัวจริงให้ได้ ทุกปีช่วงพักหน้าหนาว ผมจะกลับไปพบกับครอบครัวที่โคโซโว แต่ปีนั้นผมไม่ได้กลับไป ผมเลือกจะลงซ้อมส่วนตัวต่อเนื่อง และผมก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง”
“ผมคิดว่าพ่อของผมพูดถูกนะ และผมก็คิดเองว่าการที่คนหนึ่งคนต้องติดคุกอยู่นานหลายปี มันคือความยากลำบากมากกว่าการที่ต้องมานั่งข้างสนามในเกมฟุตบอลหลายสิบเท่า มันเทียบกันไม่ได้เลย กับความอดทนและรอคอย”
ชาก้า ลงเล่นกับ กลัดบัค เป็นเวลา 4 ฤดูกาล พาทีมเข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สองสมัย ในขณะที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมในฤดูกาล 2015-2016 จาก ลูเซียง ฟาฟร์ ผู้จัดการทีมที่มั่นใจในศักยภาพของเขา
หลังความพ่ายแพ้ต่อ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 อูไน อเมรี่ พาทีมไม่ชนะใครเลย 9 เกมติดต่อกัน และทำให้เขาโดนทั้งแรงกดดันจากแฟนบอล ที่บวกกับผลงาน และปัญหาภายในทีมรุมเร้า จนสุดท้ายต้องออกจากทีมในที่สุด ขณะที่ ชาก้า ซึ่ง ณ เวลานั้น หลังเกิดเรื่องจากเหตุการณ์ในเกมกับ คริสตัล พาเลซ เขากลายเป็นที่โดนเกลียดชังจากแฟนบอลอาร์เซนอลจำนวนหนึ่ง ที่ทั้งโมโหกับผลงาน ผิดหวังกับฟอร์มการเล่นส่วนตัว และของทีม โดยที่ ชาก้า กลายเป็นหนึ่งในคนที่โดนวิจารณ์อย่างรุนแรง และสุดท้ายทุกอย่างก็ระเบิดออกมาในเกมนั้น
เขาหลุดออกจากทีมไปพักใหญ่ ปลอกแขนกัปตันทีมถูกส่งต่อไปยัง ปิแอร์–เอเมอริค โอบาเมยอง นี่คือการปกป้องจากสโมสรต่อนักเตะภายในทีม ซึ่งเพื่อนร่วมทีมต่างเห็นใจกับสิ่งที่เขาได้รับ ท่ามกลางแรงเกลียดชังที่บุกเข้าหาเขาตลอดทั้งในและภายนอก โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่ลุกลามอย่างหนักไปถึงครอบครัวของเขา จนต้องมีการออกมาขอร้อง และต่อต้านการ Cyber Bully จากเหล่าแฟนบอลหัวรุนแรง และเลวทรามเหล่านั้น
มิเคล อาร์เตต้า เข้ามารับงานแทนที่ของ อเมรี่ พร้อมกับทำงานอย่างแรก ๆ ของตนเองคือการพูดคุยกับ ชาก้า ซึ่ง ณ เวลานั้นเขาพร้อมแล้วกับการย้ายออกจากทีม
“ข้อเสนอมาวางบนโต๊ะรอผมแล้ว มีหลายสโมสรที่เสนอเข้ามา และผมจะเซ็นสัญญา ผมได้คุยกับ เลโอนิต้า ภรรยาของผม และเราตัดสินใจจะย้ายออก ผมตั้งใจจะไปบอกลากับ มิเคล อาร์เตต้า และผมจะขึ้นเครื่องบินออกเดินทาง”
“ผมอยากบอกให้ชัดเจนว่า ผมรักอาร์เซนอลเสมอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้จนถึงวันที่ผมออกจากทีมไป ผมมั่นใจว่ามีหลายคนไม่ชอบหน้าผมหรอก แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล และผมต้องรับมันไว้”
“ทุกครั้งที่ผมหลับตาลง ผมจะสามารถเห็นใบหน้าเหล่านั้นของแฟนบอล ความเกลียดชังมากมาย ณ เวลานั้น ผมคิดว่าผมพอแล้วกับอาร์เซนอล ผมเก็บกระเป๋าแล้ว พาสปอร์ตเตรียมแล้ว จบสิ้นกันเสียที”
“ผมไม่เคยเจอกับประสบการณ์แบบนี้มาก่อน มันคือสิ่งที่เรียกว่าความเกลียดชัง มันเป็นความเกลียดชังอย่างแท้จริง ผมยืนยันได้ว่าผมไม่ได้กล่าวเกินจริง และนั่นทำให้ผมรู้สึกระดับความเกลียดชัง และการไม่ได้รับความเคารพ ผมไม่ต้องการให้กลายเป็นความเลวร้ายที่สุดของผม กระทั่งถึงวันนี้ ถ้าทีมจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ผมเกลียดมากที่ต้องเดินออกจากสนามแบบนั้น ผมเกลียดการเดินในช่วงไม่กี่เมตรสุดท้ายก่อนเข้าไปยังอุโมงค์ เพราะผมจะคิดถึงใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น มันไม่ต่างจากที่ผมเห็นกับแฟนบอลทุกครั้งที่เราแพ้ ดังนั้นทุกครั้งผมมักจะก้มหน้าลง ผมผ่านช่วงเวลาค่ำคืนที่เลวร้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก”
“เมื่อ มิเคล อาร์เตต้า เข้ามารับงานผมได้คุยกับเขา ผมบอกเขาตามตรงว่าผมอยากย้ายออกแล้ว เขาเข้าในใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลายวันต่อมาเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง โดยมีภรรยาของผมอยู่ด้วย เพื่อรับทราบเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ กระเป๋าเดินทางเตรียมไว้แล้ว ผมตัดสินใจอะไรลงไปแล้ว มันไม่บ่อยที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
หมายเหตุ : ในช่วงตลาดมกราคม 2020 แฮร์ธ่าเบอร์ลินคือสโมสรที่สามารถตกลงกับกรานิทชาก้าได้แล้วและสโมสรก็พร้อมปล่อยตัวหากนักเตะตัดสินใจเลือกที่จะย้ายออก
“อาร์เตต้า มาคุยกับผม เขาพูดถึงแผนงานของเขา และเขายืนยันว่าผมคือหนึ่งในส่วนของแผนงานของเขา เขาพูดกับผมอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และทำให้ผมรู้สึกได้ว่าผมสามารถเชื่อมั่นในตัวของเขาได้ เขาบอกผมว่าเขาขอเวลา 6 เดือนในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดผิดหรือถูก ถ้าผ่านไปแล้วผมต้องการย้ายออกจากทีมอีก เขาจะยอมรับมัน”
“ปกติแล้วผมมักใช้เวลาในการตัดสินใจ คุยกับคนรอบตัวหลายคน และชั่งน้ำหนักข้อดี และข้อเสียในการตัดสินใจ แต่การตัดสินใจในวันนั้นผมเลือกโดยไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นเลย เพราะผมบอกกับเขาว่า “ตกลง” และผมบอกกับ เลโอนิต้าว่าผมจะอยู่ต่อ แน่นอนเธอค้านผม แต่ผมบอกไปว่า เคลียร์ของในกระเป๋าของเรากลับไปที่เดิมกัน นี่คือความท้าทายครั้งใหม่ และไม่ว่าจะในสถานะของ “เรา” หรือว่าผมจะยังตัวคนเดียว ผมก็จะเลือกทางเลือกนี้”
“การเลือกของผมครั้งนี้เป็นทางเลือกที่มีความยุ่งยากมากรออยู่ มันมีเรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว หลายคนไม่ชอบหน้าผม หลายคนพูดว่า “ทำไมผมไม่ไป ๆ สักที” พ่อผมก็บอกว่า “ทุกอย่างมันจบแล้ว” จะกลับไปทำไมอีก ผมคิดว่าผมโตพอจะตัดสินใจเส้นทางของผมด้วยตัวของผมเอง ผมจะปล่อยให้มันจบแบบนี้เหรอ ให้ผู้คนเหล่านั้นทำกับผมแบบนี้ ด่าทอว่าผมไร้ค่า และให้จงชังแบบนี้เหรอ ไม่! นั่นไม่ใช่ผม ในสมองของผม ผมออกจากอาร์เซนอลไปแล้ว แต่หัวใจผมไม่ได้เป็นแบบนั้น มันบอกว่าผมจะออกจากสโมสรไปแบบนี้ทั้งที่มันเป็นแบบนี้ไม่ได้”
โปรดติดตามตอนต่อไป…ตอนสุดท้ายของเรื่องราวนี้