ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านอีกหนึ่งช่วงของวงการฟุตบอล ก็ว่าได้ ในเรื่องของภายในสนาม มีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยในการตัดสินเกม VAR (Video Assistant Referees) เข้ามาพร้อมความวุ่นวาย และดราม่ามากมาย โดยเฉพาะใน พรีเมียร์ ลีก มีเคสให้ได้จับผิดกับแทบทุกสัปดาห์ รวมถึง เทคโนโลยี Goal Line ที่เข้ามาแล้วทำให้ปัญหาเกี่ยวกับบอล “ข้ามเส้นหรือไม่” ลดข้อกังขาไปได้เยอะมากทีเดียว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ได้มาคุยเกี่ยวกับสองเทคโนโลยีเหล่านั้น แต่วันนี้ฟุตบอลอีกด้านหนึ่งก็มีการ “เปลี่ยนผ่าน”เช่นเดียวกัน นั่นคือการเข้ามาของ ผู้จัดการทีม วัยหนุ่ม รุ่นใหม่ ก้าวเข้ามาสู่วงการฟุตบอลกันหลายต่อหลายคน และหลายคนเหล่านั้นคือ อดีต นักเตะ ที่ถูกสั่งใช้งานมาตลอดชีวิตการเป็น นักเตะ มาวันนี้ พวกเขาอยากลองรับงานเป็น ผู้สั่งงาน กับเขาบ้าง โดยหนึ่งในนั้นคืออดีต นักเตะ สเปอร์ส รวมถึง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และอีกหลายสโมสรคนนี้
อดีตกองกลางดีกรีทีมชาติอังกฤษ วัย 40 ปี ก้าวเข้าสู่วงการผู้จัดการทีมกับสโมสร ฟูแล่ม ซึ่งเป็นสโมสรสุดท้ายในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขาด้วย โดยหลังจากเลิกเล่นเขาหยุดพักเป็นการชั่วคราว ก่อนเข้าสู่วงการฟุตบอลด้วยการทำงานกับ สเปอร์ส ในฐานะของโค้ชทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ก่อนที่ในปี 2018 จะออกจาก สเปอร์ส กลับมารับงานเป็นโค้ชของฟูแล่ม ภายใต้การคุมทีมของ สลาวิซ่า โยคาโนวิช (อดีตโค้ชของสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2012-2013) แต่หลังจาก “ย็อคก้า” โดนปลดออกไป ฟูแล่ม ก็ไม่ต้องมองไกล เลือก พาร์คเกอร์ มารับงานชั่วคราว จนได้งานถาวรจนถึงวันนี้
ฟูแล่ม ในฤดูกาล 2020 – 2021 ยังคงเป็นทีมหนีตกชั้นตามประสาของทีมที่เพิ่งขึ้นมาในลีกสูงสุด เป็นปีแรก พวกเขา ไม่ได้เสริมทีมอย่างบ้าคลั่ง แบบหลายปีก่อนหน้านั้น อาจจะด้วยสถานการณ์ของโควิด-19 หรือจะด้วยความเชื่อมั่นใจของ พาร์คเกอร์ แต่ถึงวันนี้กับอีกไม่ถึง 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาล ฟูแล่ม ยังคงอยู่ในเส้นทางหฤโหดที่ยังคงต้องลุ้นหนีตกชั้นต่อไป บนความหวังอย่างเต็มเปี่ยม กับระยะห่างสามคะแนน ในการ “รอดหรือร่วง” ในฤดูกาลนี้
“หลังจบเบรกทีมชาติในช่วงต้นเดือนเมษายน เรารู้กันดีว่า มันถึง โค้งสุดท้ายกันแล้ว 8 เกมสุดท้ายรอพวกเราอยู่ คุณจะสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้น และอะดรีนาลินที่หลั่งออกมามากกว่าปกติ มันคือช่วงที่จะมีทีมได้แชมป์ลีก และมีทีมที่ตกชั้น มันคือช่วงตัดสินทุกอย่างที่เราทำกันตลอดฤดูกาลนี้ว่าเราจะอยู่ต่อ หรือหล่นลงไปอีกครั้ง”
ฟูแล่ม ตามหลังทีมอันดับ 17 สามคะแนน และลงเล่นมากกว่าหนึ่งเกม โดย นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สโมสรเก่าของเขาเอง คือทีมนั้นนั่นเอง และ พาร์คเกอร์ เลือกที่จะทำทีมด้วย นักเตะ หลักที่ลงเล่นกับทีมมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เสริมด้วย นักเตะ อีกส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ในสงครามแห่งความอยู่รอดนี้
“ผมอยู่ในช่วงที่ได้เห็นทีมตกชั้น และได้กลับมาเล่นในพรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง หลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ผมก็ตัดสินใจที่จะสร้างทีมของตนเองด้วยความเชื่อมั่นระหว่าง ผู้เล่น และ นักเตะ ผมมี นักเตะ จำนวนมากในทีม และการที่ขึ้นชั้นมาแล้วจะซื้อ นักเตะ ใหม่ตัวแพงเข้ามามากเกินไป มันก็เคยเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป และซ้ำร้ายมันจะส่งผลเสียด้วยซ้ำ”
“มันคือเรื่องของความเป็นจริง และความซื่อสัตย์ไว้ใจที่มีต่อกัน ระหว่างคนในทีม เราผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน จบอันดับ 4 ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ และมาเล่นในลีกสูงสุดด้วยการเพลย์ออฟเข้ามา เราเป็นทีมที่อายุน้อยมาก และเราเลือกใช้งาน นักเตะเดิม ผสมกับ นักเตะใหม่ ที่ทั้งเซ็นสัญญาถาวร และแบบยืมตัวเข้ามาหลายคน (เซ็นสัญญาถาวร 5 คน ยืมตัว 7 คน) เกินครึ่งไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก มาก่อนเลย มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเราต้องจัดการให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ปัจจัยในการอยู่รอดคือการที่ นักเตะใหม่ จะปรับตัวเข้ากับทีมได้เร็วแค่ไหน และพวกเขาจะทำผลงานได้อย่างที่เราประเมินไว้หรือเปล่า ผมทำงานกับทีมด้วยแนวคิดแบบนั้น”
“ผมต้องการให้ทุกคนในทีมเข้าใจตรงกันว่า โค้ชเชื่อมั่นในพวกเขาทุกคน เราอาจจะแพ้ 4 เกมรวด และต้องหล่นมาลุ้นตกชั้น มันไม่ใช่ความผิดพลาดของใครทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเราเองล้วน ๆ ไม่ต้องมองที่อื่น ถ้าเราชนะได้ นั่นเพราะเราไม่เสียประตู ถ้าเราแพ้ เราดีไม่พอ เช่นเดียวกับถ้าต้องตกชั้นก็เช่นกัน ดังนั้นจงมีสมาธิกับตนเอง”
“ผมเคยมีประสบการณ์ในการเป็น นักเตะ ทีมหนีตกชั้นมาก็หลายครั้ง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือแรงกดดัน และความกลัว เราต้องเปลี่ยนแปลงมันมาเป็นการต่อสู้เพื่อการเอาตัวรอด อย่ากลัวที่จะแพ้ แต่จงกลัวอันดับในตารางคะแนน เพราะมันสะท้อนทุกอย่างของทีมได้ทั้งหมด ฟูแล่ม กำลังอยู่ในช่วงการสร้างทีม เรายังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องจัดการ และทุกอย่าง “พูดง่ายกว่าทำเสมอ” และช่วงเวลานี้คืออีก บททดสอบสำคัญของเรา เราต้องเดินหน้าต่อไป ให้โอกาสตัวเองให้มากที่สุดในการต่อสู้ สู้ให้เต็ม 100 % เพื่อการผ่านบททดสอบนี้”
หากเปรียบเทียบ ฟูแล่ม ในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ต่างจาก กราฟหุ้น สักตัวหนึ่งในกระดานที่มีความ ผกผัน มากมายเกิดขึ้น มีทั้งจุดขึ้นสูง และตกต่ำอย่างที่สุด พวกเขาเริ่มต้น 4 เกมแรกด้วยความพ่ายแพ้ เคยผ่านช่วงไม่ชนะติดต่อกัน 12 เกมในลีก (เสมอ 8 แพ้ 4) แต่กลับมีหกคะแนนเต็มจากสองเกมในการไปเยือนเมือง ลิเวอร์พูล ในการพบกับ ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน มาแล้ว อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่เลวร้าย สิ่งที่ตามมาคือ เสียงวิจารณ์ คำก่นด่าที่รุนแรง จากแฟนบอลของทีม ซึ่ง พาร์คเกอร์ ยอมรับว่า นี่คือสิ่งที่เขารับรู้เสมอว่าต้องเจอ และต้องอยู่กับมัน
“ผมเชื่อเสมอว่าตัวเองสามารถที่จะควบคุม ความคิดในการเล่นของ นักเตะ ภายในทีมได้ ผมโน้มน้าวพวกเขาให้ทำให้สิ่งที่ทีมต้องการได้ แต่กับ แฟนบอล คุณไม่สามารถควบคุมอะไรได้ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่จะทำให้เรื่องสงบลงคือ ชัยชนะ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คุณจะโดนตัดสินจากอะไรก็ตามแต่ได้ทุกอย่าง ได้ตลอดเวลา โค้ชทุกคนเจอแบบนี้หมด เพราะ แทบทั้งหมด แฟนบอลไม่เคยรู้โดยละเอียดว่า ทีมมีการทำงานเบื้องหลังอย่างไร พวกเขา รวมถึงสื่อมวลชน ตัดสินคุณใน 90 นาทีแต่ละเกมเท่านั้น ดังนั้นหากคุณสามารถทำให้แฟนบอลเข้าใจในแนวทางการทำทีม หรือสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คุณก็จะได้รับเวลาในการทำงานปรับปรุงทีมได้มากขึ้น ที่สำคัญทุกอย่างที่ทำไปในสนามของ นักเตะ ทุกคน มันต้องชัดเจนว่า เต็มที่แล้วเท่านั้นด้วย”
โปรดติดตามตอนต่อไป