กรณีของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (37 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) ออกมาระเบิดอารมณ์ความรู้สึกในรายการของเพียร์ซ มอร์แกน นักข่าวอังกฤษเกี่ยวกับความไม่พอใจในแทบทุกเรื่องที่มีต่อสโมสร และในตัวของ เอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน คือฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเขากับทีมโดยทันที อย่างที่ผู้เขียนคงไม่ต้องมาเขียนบอกว่าทำไม
เหมือนคุณมีเจ้านาย และมีคุณมีเจ้าเงินทุนแบ็คอัพอยู่ด้านหลังคุณแล้วคุณด่าเขาออกสื่อแบบนั้นล่ะครับ ทำกันแบบนี้ก็ไม่ต้องไว้หน้า ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกันอีกต่อไปแล้ว เคสแบบนี้เห็นแล้ว “เห็นใจ” โรนัลโด้ และ “เข้าใจ” สโมสรและแฟนบอลอย่างยิ่ง เพราะงานนี้เจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่ายที่ต้องเห็นเรื่องแบบนี้
“เรื่องในบ้าน” ที่ถูกเอามาพูดให้ “ข้างบ้านฟัง”
โรนัลโด้ กลับมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะของ “วีรบุรุษกลับบ้าน” เจ้าของรางวัลบัลลง ดอร์ 5 สมัย กลับมาสู่ทีมด้วยการปฏิเสธข้อเสนอของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อกลับมาร่วมงานกับทีมอีกครั้งในช่วงเวลาที่ทีมไม่ใช่ “ที่สุด” ของวงการฟุตบอลอังกฤษอีกต่อไป ณ เวลานั้น ภาพวันแรกของการคัมแบ็คกลับมายิงประตูให้กับทีมได้อีกครั้ง ประหนึ่งงานฉลองคาร์นิวัลใหญ่ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด กันเลย
ผ่านไปหนึ่งปีครึ่งสถานการณ์ตอนนั้นไม่ถูกกล่าวถึง หรือระลึกถึงอีกต่อไปเพราะมีเรื่องราวใหม่ให้กล่าวถึงพูดถึงมาตลอดนับตั้งแต่จบฤดูกาลที่ผ่านมา ในวันที่ ยูโรป้า ลีก เข้ามา ไม่มีแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกต่อไป โรนัลโด้ ก็อยากอำลาทีม เขาอยากไปต่อในสถิติ อยากเล่นในระดับสูงสุดเท่านั้น และอีกร้อยเหตุผลในหัวสมองสำหรับคนอยากจากไป เพื่อผลลัพธ์เดียวคือออกจากทีม แต่สุดท้ายด้วยการผูกมัดของสัญญาที่เซ็นกันไว้ ความรับผิดชอบกับสิ่งที่เซ็น + ค่าเหนื่อยที่แพงมหาศาล ไม่มีทีมไหนพร้อมลงทุนจ่ายให้ขุนศึกเจนประสบการณ์ที่นับวันมีแต่จะผลงานถดถอยลงไปเรื่อย ๆ และอาจจะเล่นได้อีกเพียงไม่ถึงสองปี การย้ายทีมจึงไม่เกิดขึ้น ถ้ามองจุดนี้ ไม่มีทีมไหนตอบความต้องการของเขาได้สักทีมเดียว และเขาเองก็เลือกที่จะไม่ไปไหน ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทำตามที่ตกลงในสัญญาตามปกติ แม้เขาจะงอแงขอย้ายทีมถึงขั้นไม่มาทัวร์กับทีมในทวีปเอเชียเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทุกอย่างก็ยังปกติ จ่ายเงินให้ปกติ ให้มาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ได้ตามปกติ นี่คือความเป็นมืออาชีพของสโมสร
การที่ผู้เขียนกล่าว “เห็นใจ” โรนัลโด้ด้วยมุมมองที่ว่าเขาเคยเป็นคนสำคัญมากสำหรับที่นี่ เป็นคนเก่งที่สุดคนหนึ่งในวงการนี้ แต่มาวันนี้เมื่อความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น คุณจะรับในการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ซึ่งสิ่งที่เขาแสดงออกมามันเป็นความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ตัวเองแหละว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานะใด เพียงแต่เขาไม่อาจยอมรับมันได้ และแสดงมันออกมาแบบผิดวิถีอย่างที่ควรทำ
การปฏิบัติตัวเช่นนี้ และในอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินออกจากสนามแข่งก่อนจบเกม จนมาถึงสัมภาษณ์รอบนี้ เขาทำลายตัวเองล้วน ๆ และหากเป็นอย่างที่เขากล่าวอ้างว่าหลายคนในสโมสรไม่อยากให้เขาอยู่ต่อไป หากมองในมุมองค์กรที่ต้องการแบบนั้นจริง เขาก็คงอยากเห็นคุณทำแบบนี้แหละ เพราะมันจะได้มีเหตุแบบชัดเจนในการลงโทษหรือยกเลิกสัญญา ซึ่งแน่นอนว่า โรนัลโด้ เตรียมใจไว้แล้วว่าจะเจออะไรบ้าง แต่มันคือการจบเรื่องราวที่ โรนัลโด้ แพ้หมดรูป เพราะเขาได้แค่ความสะใจ แต่ต้องสูญเสียทั้งภาพลักษณ์ ความรักที่แฟนบอลมีให้ ทั้งกับตัวเองที่รักษาสิ่งที่เรียกว่าความมืออาชีพมาตลอดชีวิต ทุกอย่าง “แหลกสลายเป็นผุยผง” หมดกับสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์รอบนี้ของเขา
ในแง่ของสโมสรการลดสถานะของโรนัลโด้คือสิ่งที่เข้าใจได้ในวงการฟุตบอลในแง่ของทีม “ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าสโมสร” แม้จะไม่ถูกเขียนเป็นมอตโต้ออกมาอย่างชัดเจน แต่แน่นอน นักเตะทุกคนอยู่ภายใต้สโมสรแห่งนี้ และผู้จัดการทีมคือหัวหน้างานของนักเตะทุกคน
เอริค เทน ฮาก ในช่วงเวลาที่เนเธอร์แลนด์กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เป็นหนึ่งในโค้ชที่แฟนบอลอาแจ็กซ์ต่างทราบดีว่าเป็นคนจริงจังกับการทำงานมากคนหนึ่ง และเมื่อย้ายมาทำงานในอังกฤษก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ทุกอย่าง “เพื่อทีม” แต่การทำเพื่อทีมก็ต้องมีทีมที่เขาต้องการเป็นอันดับแรกเสียก่อน และ โรนัลโด้ ไม่ใช่กุญแจหลักของแผนงานของเขา ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นการถูกวางตัวอยู่ในม้านั่งสำรองก็ถูกต้องแล้วในมุมมองของโค้ช และเลือกใช้ในเฉพาะเกมที่เขาเห็นควรว่าจะได้รับโอกาสลงเล่น กอปรกับผลงานของทีมนับตั้งแต่วันแรกที่มาคุมทีมจนถึงตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอาจจะยังไม่กลับไปอยู่ในจุดเดิมที่เคยเกรียงไกร แต่ก็ต้องบอกว่าพวกเขาดูดีขึ้นในแง่ของผลงาน และความเป็นทีมซึ่งในครึ่งฤดูกาลหลังน่าจับตามองว่าจะรักษามาตรฐานไว้ได้ต่อเนื่องมากแค่ไหน
การดรอปโรนัลโด้ในช่วงแรกอาจจะมีเสียงวิจารณ์มากน้อยว่ากันไป แต่ยิ่งนานไปยิ่งเขาทำตัวไม่น่ารักมากขึ้น สวนทางกับผลงานที่เริ่มชนะต่อเนื่องได้มากขึ้น สุดท้ายแล้วความสำคัญของเขา กับความสำเร็จของทีม แฟนบอลจะเลือกสิ่งใด คำถามนี้มีคำตอบอยู่แล้ว
กรณีของโรนัลโด้นี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเคสของ อาร์เซนอล กับ เมซุต เออซิล ที่มีการตัดออกจากทีมโดยอูไน อเมรี่ จนมาถึงในยุคของ มิเคล อาร์เตต้า ที่สุดท้ายจบลงด้วยการยกเลิกสัญญากันในที่สุด แม้ในรายละเอียดจะมีความแตกต่างกัน แต่ปลายทางดูแล้วก็ไม่น่าจะต่างกัน
ต่างกันตรงที่ เออซิล ใช้สังคมออนไลน์ในการกล่าวถึงความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และพูดในเชิงขอโอกาสกับการเล่นฟุตบอล แม้สุดท้ายมันไม่เกิดขึ้น แต่ถึงวันนี้แฟนบอลอาร์เซนอลจำนวนมากก็ยังคงรักเขาไม่เปลี่ยน หลายคนยังคิดถึงจอมแอตซิสต์คนนี้ และตลอดช่วงที่มีปัญหา เออซิล ได้ลงซ้อมกับทีมตามปกติแม้จะไม่มีชื่อกระทั่งตัวสำรองในหลายเกม มันก็แสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพของเขา ยังไม่รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคมในย่านลอนดอนเหนืออีกหลายอย่างที่ตัวเขาทำร่วมกับภรรยา ไหนจะการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเอเยนต์ที่มาบอกเล่าเรื่องราวของเขาในช่วงที่เล่นกับอาร์เซนอล แฟนบอลยิ่งรู้สึกดีมีความทรงจำที่ดีมากขึ้นไปอีก
ขณะที่ โรนัลโด้ เลือกจะใช้การสัมภาษณ์เป็นการบอกเล่าความรู้สึกของตนเองในหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดที่กลายเป็น “ระเบิดตัวเอง” ซึ่งการสัมภาษณ์ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบมีการบันทึกภาพและเสียง แถมยังมีพิธีกรคอยทั้งชี้นำ เจาะประเด็น และกระตุ้นความอยากพูด ด้วยเช่นนี้ ในแง่ของการควบคุมอารมณ์ และการไตร่ตรองกรองคำกล่าวใด ๆ ทำได้ยากกว่าการเขียนอย่างแน่นอน และสุดท้ายพี่โด้ก็หลุดออกมาทั้งยวง อย่างที่ข่าวแจ้งออกมา
“ก่อนพูดเราคือนายมัน หลังพูดมันคือนายเรา”
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจากนี้คงสามารถเคลื่อนไหวในการจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ และทีมของ เทน ฮาก ก็จะสามารถเดินหน้าได้ต่อไป เพราะกำลังจะตัด “ปัญหา” ไปได้หนึ่งเรื่อง และมีอีกหลายเรื่องที่ต้องตามไปแก้กันต่อไป ตามหลักของการสร้างทีมที่ทุกทีมต้องเจอเมื่อมีการเปลี่ยนนายใหญ่คนใหม่ นักเตะทุกคนจะได้รับ “โอกาส” และ “สถานะ” ใหม่หมดอีกครั้ง ไม่ยกเว้นว่าคุณจะเป็นใคร หรือกระทั่งคุณคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ตาม หากการจัดการเรื่องนี้เฉียบขาด และผลงานของทีมไปได้ดี เชื่อมั่นได้เลยว่า สถานะของเทน ฮาก กับทีมจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องรอดูกันต่อไป สวนทางกับปัจจุบันของ โรนัลโด้ ที่ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะย้ายหรือไม่ย้าย หรือจะอย่างไร มันก็คงไม่มีแฟนบอลปีศาจแดงสนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะคุณชัดเจนว่าคุณไม่รักสโมสร เท่ากับที่คุณรักตัวคุณเอง แล้วเราจะรักกันได้อย่างไร