“หนึ่งในเกมที่ตื่นเต้นที่สุด” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยไปนักสำหรับเกมระหว่าง อาร์เซนอล พบกับ ลิเวอร์พูล เพราะแค่มองสถิติก่อนเกมนี้จะเห็นได้ว่าเกมนี้ “ยิงกระจาย” กันทุกเกม แม้ว่าบางเกมจะมีทีมที่ยิงได้อยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม และในระยะหลัง ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่าอาร์เซนอลอย่างชัดเจน
ก่อนเกมนี้อาร์เซนอลอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดในรอบมากกว่าหนึ่งทศวรรษ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ชัดเจนมากว่าปีนี้พวกเขาเริ่มต้นด้วยปัญหาหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างราบรื่น
อาร์เซนอล เกมนี้เจอกับข่าวร้ายก่อนเกมเพิ่มเติม โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ บาดเจ็บและรายงานล่าสุดคือรอการประเมินอีกครั้งว่าแนวรับยูเครนต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานเท่าไร แต่ที่แน่นอนคือเขาไปร่วมกับ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ และ เอมิล สมิธ โรว์ ในการเป็นผู้ชมในเกมนี้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ได้ตัวดิโอโก้ โจต้า ตัวแสบของอาร์เซนอลกลับมา พร้อมกับแนวรุกครบชุดโดยมี โรเบร์โต้ ฟีร์มิโน่ อยู่ข้างสนามรอโอกาส
เกมใหญ่ระดับนี้ส่วนมากแล้วจะค่อนข้างระมัดระวังตัวกันอย่างมากสำหรับทั้งสองทีม แต่เกมนี้กลับตรงกันข้ามเพราะ 58 วินาทีแรกของเกม ประตูแรกก็เกิดขึ้นในแบบที่นักเตะทั้งสองทีมยังได้บอลกันไม่ครบทุกคน และมันเกิดจากจังหวะการเล่นสวนกลับ
ประตูแรกของอาร์เซนอล : จุดเริ่มต้นจากการเล่นเกมรุกของลิเวอร์พูล ซาลิบา ตัดบอลได้ออกบอลเร็วให้กับ มาร์ติน เออเดการ์ด ก่อนแทงบอลเร็วให้กับซาก้าทางขวา และเพลย์นี้ก็เริ่มขึ้น
จังหวะต่อมาที่ ซาก้า คืนบอลให้กับ เออเดการ์ด เราจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของแนวรับลิเวอร์พูลเทมาทางซาก้าแทบทั้งหมด เมื่อบอลมาถึงตรงกลาง เออเดการ์ดมีพื้นที่และเวลาในการเลือกทิศทางการออกบอล ซึ่งจังหวะนี้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หุบตัวเองเข้ามาตรงกลางใกล้กับ โจแอล มาติป เพื่อปิดช่องตรงกลาง ซึ่งมีกาเบรียล เฆซุส อยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่าการบีบนี้ทำให้เกิดช่องด้านหลังแนวรับ ซึ่งมาร์ติเนลลี่ สปีดมาทางซ้ายแบบไร้ตัวประกบ เออเดการ์ดแทงทะลุช่องระหว่างแนวรับให้ตัวรุกบราซิล ควบเข้าไปยิงประตู เพลย์นี้ ยืนตำแหน่งผิดครั้งเดียวของแนวรับลิเวอร์พูล กลายเป็นพังทันที อาร์เซนอลฉวยโอกาสไว้ไม่พลาด และประตูนี้ได้รับการระบุว่าเป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดที่อาร์เซนอล ยิงประตูลิเวอร์พูลในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก
การเสียประตูไปก่อนเป็น Dream Start ของอาร์เซนอล และเป็นหายนะสำหรับลิเวอร์พูล
เกมวันนี้อาร์เซนอลวางระบบ 4-1-4-1 ในเกมรุกเปิดแลกกับลิเวอร์พูลตั้งแต่นาทีแรก กรานิท ชาก้า รับบทดันขึ้นสูงเหมือนเล่นกลางรุกอีกหนึ่งคนในจังหวะบุก โธมัส ปาเตย์ คุมจังหวะแดนกลาง ออกบอลสั้น-ยาว อาร์เตต้า สั่งแนวรุกด้านบนเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบนช่วยงาน มีฟูลแบ็คอย่าง โทมิยาสุ และ เบน ไวท์ ไล่บอลสูงตั้งแต่แดนคู่แข่ง ซึ่งนอกจากเป็นการกดดันการออกบอลของลิเวอร์พูลแล้ว ยังเป็นการช่วยงานปาเตย์ในจังหวะเล่นเกมรับอีกทาง เมื่อเข้าสู่การเล่นเกมรับ อาร์เซนอลจะกลับมายืนเป็น 4-2-3-1 ตามระบบถนัดของตัวเอง เจอกับ ลิเวอร์พูล ที่เล่นคล้ายๆ กันพวกเขาเล่นระบบทั้ง 4-2-3-1 และ 4-2-1-3 ยืดหยุ่นกันตามสถานการณ์ในการเล่น
20 นาทีแรกของเกมเป็นช่วงเวลาที่เกมค่อนข้างตึงทั้งสองฝ่าย ลิเวอร์พูลซึ่งวันนี้กองกลางของพวกเขาไม่ค่อยได้บอลมากนักในช่วงแรก ก็ต้องเริ่มมีการปรับแท็คติก
สิ่งที่เห็นคือการออกบอลของลิเวอร์พูล จะเลือกให้ตัวรุกด้านข้างลงมาเชื่อมเกมช่วยตรงกลาง และพาบอลเชื่อมต่อไปข้างหน้าในการสร้างเกมรุกเจาะทางด้านข้าง และอีกรูปแบบคือการวางบอลยาวจากแนวรับข้ามพื้นที่กลางสนามเป้าหมายคือพื้นที่หน้าเขตโทษของอาร์เซนอล เล่นจังหวะแบบนี้ได้หลายครั้ง และก็ได้สบโอกาสยิงประตูมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแทบทั้งหมดมาจากตัวรุกด้านข้างสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้ง ลุยซ์ ดิอาสซ และ โม ซาลาห์ เป็นจุดเริ่มในหลายครั้ง ลิเวอร์พูลเล่นลักษณะนี้หลายครั้งจนสุดท้ายอาร์เซนอลเป็นฝ่ายที่พลาดเอง
ประตูตีเสมอ 1-1 ของลิเวอร์พูล: จากจังหวะเล่นบอลยาวข้ามกลางสนามของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บอลลอยมาตกอยู่ในจุดที่ต้องบอกว่า “พอดีและได้เปรียบ” สำหรับลิเวอร์พูล เมื่อมีนักเตะอยู่ถึงสองคนบริเวณนั้น และมันก็โชคเป็นใจ เมื่อ กาเบรียล มากัญเยส ตัดสินใจเลือกเล่นเพื่อสกัดบอล แต่กลายเป็นโดนบอลเพียงข้างเท้าไม่แรงพอจะเปลี่ยนทิศทาง และกลายเป็นเสียบอลให้กับ ดิอาซ และเพลย์นี้ก็เริ่มขึ้น
เราจะได้เห็นการเล่นวิ่งสลับตาม “แนววิ่งของบอล” ที่ชัดเจนมาก “ดิอาซ ออกนอก นูนเญซ เข้าใน” จังหวะนี้ โทมิยาสุ ในฐานะแบ็คซ้ายไม่มีทางเลือกนอกจากตามคนมีบอลไป ปล่อยกาเบรียล รับผิดชอบ นูนเญซที่ตัดสลับเข้ากลางแล้ว จังหวะนี้ก็เหมือนกับหลายครั้งที่ผู้เขียนพูดถึง เมื่อคุณยืดขาไปสุดตัวแล้วต้องวิ่งแข่งกับคนที่พร้อมออกตัวอยู่แล้ว อัตราสปีดต้นมักจะเสียเปรียบ เพลย์นี้ก็เป็นแบบนั้น นูนเญซ ช่วงชิงการ “ขึ้นหน้า” เข้าเขตโทษได้ก่อนแนวรับบราซิล ก่อนที่ ดิอาซ จะไม่แต่งจังหวะอะไรเลย เมื่อถึงพื้นที่เข้าทำก็ออกบอลย้อนเข้ากลางมาให้นูนเญซ เข้าฮอสเปลี่ยนทางเข้าไปในระยะเผาขนไม่มีเหลือ
เพลย์นี้กล่าวได้ว่าเป็น “บอลซ้อม” ของเกมรุกลิเวอร์พูลได้เลย และด้วยระยะเผาขนเช่นนี้ หากนายทวารเซฟได้ก็ต้องบอกว่ายอดเยี่ยม และมีโชคด้วยในเวลาเดียวกัน แต่จังหวะนี้ อารอน แรมสเดล ทำดีที่สุดได้แค่กางแขนออกมาให้ตัวใหญ่ที่สุด แต่ก็พลาดไป เพลย์นี้ดูตามนาฬิกาในเกมเกิดขึ้นในเวลาเพียง 5-6 วินาทีเท่านั้น
การตีเสมอของลิเวอร์พูล ทำให้เกมกลับมาเป็นของลิเวอร์พูลขึ้นมาบ้าง พวกเขาเริ่มย้ำการโจมตีในลักษณะเดิมเข้าไปต่อเนื่อง เรียกว่า มีโอกาสยกบอลข้ามกองกลาง หรือดันจนได้หยอดบอลข้ามแนวรับอาร์เซนอลกันหลายจังหวะ และเป็นช่วงเวลาที่อาร์เซนอลตั้งเกมของตัวเองได้ไม่ถนัดนัก ด้วยเหตุผลสองอย่าง แผนการเพรสซิ่งจากแดนบน อัตราการได้บอลจากการบีบไล่บอลได้น้อยลง กองกลางลิเวอร์พูลเริ่มตั้งจังหวะได้ ไดมาโมของทีมก็เริ่มทำงาน เป็นช่วงที่เราจะได้เห็นการเติมเกมของ ซิมิคาส และ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บ่อยขึ้น แต่นั่นกลายเป็นปัญหาที่พวกเขาเจอมาตลอดต้นฤดูกาล เมื่อบุกเพลินแล้ว เกมรับเจอสวนกลับ และพลาดเสียประตู
ประตู 2-1 ของอาร์เซนอล : จุดเริ่มต้นจากการเล่นลูกตั้งเตะระยะไกลของลิเวอร์พูล บอลเปิดเข้าพื้นที่อันตรายของอาร์เซนอล เราจะเห็นว่าคู่เซนเตอร์ มาติป – ฟาน ไดจ์ ดันขึ้นมาเล่นเกมรุกลุ้นทำประตู พวกเขาให้ เฮนเดอร์สัน – ติอาโก้ ซึ่งเป็นคู่กลางของทีมยืนนอกเขตโทษ และมีอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์คือตัวห้อยท้ายในเพลย์นี้
บอลมาถึง มาติป หนึ่งในเป้าหมายของการเซตเพลย์ แต่ที่อยากให้ดูคือ “การเคลื่อนที่” ของมาร์ติเนลลี่ ซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจบอลเลยว่าจะอย่างไร แต่ตนเองวิ่งไปทางซ้ายตำแหน่งประจำการ เมื่อบอลเพลย์นี้ อาร์เซนอล ดักได้ มาร์ติเนลลี่ ก็พร้อมแล้วสำหรับการ “ตะลุย” และเพลย์นี้ก็เริ่มขึ้น
ปาเตย์โหม่งออกมาและเป็นเฆซุสเก็บได้ตรงกลางสนาม มาร์ติเนลลี่ กลายเป็นตัวบนสุดของอาร์เซนอลทันที เพราะเขาออกตัวไปก่อนคนอื่น 1-2 จังหวะแล้ว ถึงตรงนี้ บอลมาถึง มาร์ติเนลลี่ เฮนเดอร์สัน ลงมาตามชะลอเกม , อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ห้อยท้ายประคองตามพื้นที่ของเขา ซิมิคาส วิ่งหน้าตั้งลงมาตามอีกคน เช่นเดียวกับ มาติป และ ติอาโก้ ตามมาทีหลัง
ในสถานการณ์ 3-3 [มาร์ติเนลลี่ – กาเบรียล – ซาก้า vs เฮนเดอร์สัน – อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ ซิมิคาส] หลักการเดิมทางสรีระ วิ่งไปข้างหน้า กับวิ่งแนวข้างหรือวิ่งถอยหลัง คนวิ่งไปข้างหน้าอัตราเร่งย่อมดีกว่า ยิ่ง มาร์ติเนลลี่ ปกติก็เร็วอยู่แล้วมาเจอกับ เฮนเดอร์สัน ที่ก็ไม่ได้เร็วอะไร กลายเป็นการจับคู่ดวลที่เสียเปรียบทันที ขณะที่ กาเบรียล ทำทางไปเหมือนกองหน้า และมีผลให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทิ้งเขาไม่ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย เมื่อเห็น มาร์ติเนลลี่ “กระชาก” แบ็คลิเวอร์พูลก็ตัดสินใจทิ้งกาเบรียล งานเข้าถึง ซิมิคาส ที่ต้องเข้าประกบแทน กลายเป็น ซาก้า ว่างทันที ทุกอย่างจะจบถ้ามาร์ติเนลลี่โดนหยุดไว้ได้จากการเลือกเข้าไปรุม 2-1 ของลิเวอร์พูลแต่ความ “บรรลัย” เกิดขึ้นเมื่อกลายเป็นเจอล็อคหลบและเปิดบอลทันที วินาทีนั้นลิเวอร์พูลจากสถานการณ์ 3-3 กลายเป็นสถานการณ์ 3-1 ซิมิคาสเพียงคนเดียวเจอกับนักเตะอาร์เซนอลสามคน ก่อนจบด้วยการที่บอลถึงเสาไกล ซาก้า แหย่บอลเปลี่ยนทางเป็นประตู
เพลย์นี้กาเบรียล มากัญเยส น่าชื่นชมที่สุดสำหรับผู้เขียน เขาดันเป็นตัวบนสุดรองจากมาร์ติเนลลี่ และเมื่อจังหวะพาไป เขาก็เลือกดันวิ่งขึ้นไปด้านหน้าเหมือนตัวเองเป็นกองหน้า และมีส่วนทำให้ประตูนี้เกิดขึ้น
ประตูนำในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกทำให้สถานการณ์ของอาร์เซนอลเป็นต่อตอนเข้าห้องแต่งตัว ในสถานการณ์ที่ถึงตรงนั้นทุกอย่างยังคงเป็นไปได้ ลิเวอร์พูล ยังคงอันตรายบนข้อเท็จจริงที่ว่าความผิดพลาดในแนวรับของพวกเขาเกิดขึ้นบ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ และทั้งสองประตูก็มาจากเรื่องการตัดสินใจเลือกที่ส่งผลกลายเป็นเสียประตู
เริ่มต้นครึ่งหลังมา อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดนเปลี่ยนออกซึ่งมีการระบุว่าบาดเจ็บและส่ง โจ โกเมซ ลงมาแทน เช่นเดียวกับ โรเบร์โต้ ฟีร์มิโน่ อีกหนึ่งตัวแสบของอาร์เซนอล ลงมาแทนที่ ดิอาซ ด้วยสาเหตุเดียวกัน และการลงมาของสองคนนี้ส่งผลต่อรูปเกมของทีมเยือน
โกเมซ เป็นกองหลังที่ว่ากันตามผลงานเขายังเทียบคนอื่นไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวหมุนเวียนในทีมที่มีจุดเด่นเรื่องของสรีระที่ใหญ่กว่าอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อลงมาเจอกับ มาร์ติเนลลี่ กลายเป็นเหมือนจาก เอ้าท์บ๊อกเซอร์ มาเจอกับ อิน ไฟท์เตอร์ คนหนึ่งเร็ว คนหนึ่งหนัก การดวลของคู่นี้ เราจะได้เห็นว่า โกเมซ ไม่ปล่อยให้ มาร์ติเนลลี่ ได้เคลื่อนที่อะไรมากนัก ปะทะด้วยไหล่อัดจนกลิ้งไปหลายหน
ช่วงเวลานาทีที่ 46 – 60 เป็นช่วงโมเมนตัมกลายเป็นของลิเวอร์พูลมากกว่าอาร์เซนอล พวกเขาสามารถครองบอลขึงเกมรุกได้มากกว่า แม้อาร์เซนอลจะมีจังหวะสวนกลับเจ็บๆ ให้ต้องนั่งไม่ติด แต่เกมก็ยังเป็นทีมเยือนที่ทำได้ดี และนาทีที่ 53 ประตูตีเสมอก็มาถึง จากความผิดพลาดในการ “ขยับพลาด เดาใจผิด” เพียงครั้งเดียวของ วิลเลี่ยม ซาลิบา
ประตู 2-2 ของลิเวอร์พูล : จากการเซตบอลกลางสนาม เฮนเดอร์สัน ให้บอลกับ โจต้า ในขณะที่อาร์เซนอล ยืนกัน “เต็มระบบ” กลางสองคน กองหลังสี่คนยืนกันครบตามตำแหน่ง และเพลย์นี้ก็เริ่มขึ้น
โจต้า วินาทีที่บอลยังไม่ถึงเท้า ฟีร์มิโน่ ซึ่งมาเล่นเป็นกลางรุก ขยับตัวทันที หาแนววิ่งของตนเอง กรานิท ชาก้า วิ่งตามจังหวะไป แต่ที่พลาดจนเสียประตูคือจังหวะการเคลื่อนที่ของ ซาลิบา ที่ประเมินว่า โจต้า จะออกบอลเข้ากลางจึงเคลื่อนที่มาข้างหน้าอีกเพียง 2 ก้าว แต่กลายเป็นพลาดเพราะ ฟีร์มิโน่ วิ่งผ่านทางซ้ายของเขา ส่วนบอลออกจากเท้าโจต้าไปทางขวาของเขา ซาลิบาในวินาทีนั้นเสียทั้งการคุมบอล และการตัดบอลไปในวินาทีเดียวกัน กลายเป็นเปิดพื้นที่ด้านหลัง และฟีร์มิโน่ คมพอจะทำให้เป็นประตู
เพลย์นี้ ซาลิบา หมดสิทธิ์แก้ตัวใด ๆ เมื่อเขาตัดสินใจพลาดในการเคลื่อนตำแหน่ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการตัดสินใจที่หวังดีแต่ได้ผลร้ายไปโดยทันทีสำหรับเขา
หลังการเสียประตูลิเวอร์พูล เหมือนย้อนหนังตอนเก่า ลิเวอร์พูล ขึงเกมใส่ต่อทันที พวกเขาเร่งเกมมากขึ้นอีกเพราะต้องการประตูนำ แต่อาร์เซนอลวันนี้ “ยังกันส์” ของพวกเขาทำให้เห็นว่า พวกเขายกระดับการเล่นได้ดี ไม่มีลน ไม่มีตื่นเต้น ที่สำคัญคือพลาดแล้วไม่พลาดรัว ๆ แบบที่ผ่านมาที่เจอกัน มักเสียแล้วหลุดฟอร์ม และช่วงเวลาต่อจากนี้คือช่วงเวลาของ กรานิท ชาก้า คีย์แมนของ 30 นาทีสุดท้าย
กองกลางสวิสเซอร์แลนด์ ในระบบ 4-1-4-1 เป็นอาวุธใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ตลอด 6 ปีที่อยู่กับอาร์เซนอลมา นี่เป็นเหมือนการค้นพบของ มิเคล อาร์เตต้า และทีมงานที่ว่า ชาก้า นั้นมีศักยภาพในการเล่นเกมรุกได้ดีคนหนึ่ง และหยิบนำมาใช้โดยให้เล่นเหมือนกลางรุกอีกหนึ่งคน ซึ่งประจวบเหมาะกับการที่ มาร์ติเนลลี่ เจอกับ โจ โกเมซ ไล่อัดไล่ทุบตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง
ชาก้า กลายเป็นจุดเริ่มของเกมบุกอาร์เซนอลอีกหนึ่งคน โดยมี ปาเตย์ เป็นคนห้อยอยู่ข้างหลังร่วมกับ ฟูลแบ็คอย่างโทมิยาสุ ช่วยกันประคอง เมื่อกองกลางสวิสเซอร์แลนด์ ดันขึ้นสูง โกเมซ ก็เจอกับงานที่ยุ่งยากขึ้น เฮนเดอร์สัน ก็ต้องเพิ่มงานขึ้นในเกมรับ และนั่นคือให้เขากับ มาร์ติเนลลี่ ต่างพอจะมีโอกาสเล่นเกมบุกได้ทั้งสองคน คนหนึ่งตัน อีกคนหนึ่งจะว่าง สลับตำแหน่งกันไปมา หมากตรงนี้ ลิเวอร์พูล แก้ไม่จน เพราะ อาร์เซนอล ก็เล่นแบบเดียวกันในตำแหน่งทางขวา ซิมิคาส เจอกับ ซาก้า ที่มี เออเดการ์ด คอยยืนใกล้ ๆ เชื่อมเกมกันไปมา บอลบุกจากด้านข้างสองฝั่ง ทำให้แนวรับลิเวอร์พูลรวน และอาร์เซนอลก็ย้ำคิดย้ำทำกับการเล่นแบบนี้ต่อเนื่อง และนำมาซึ่งจุดโทษ
ประตูชัยของอาร์เซนอล : หลังจากย้ำการเล่นแบบเดิมๆ ในรูปแบบของการตัดสลับกันไปมาหลายรอบ สุดท้ายมาตัดสินกันที่ความผิดพลาดในที่สุด
ชาก้า ออกบอลให้กับ มาร์ติเนลลี่ ในขณะที่ตัวเองวิ่งไปทำทางรอตัดแบ็คอย่างโกเมซที่วันนี้งงไปหมดกับการเจอสลับตำแหน่ง และ โกนาเต้ ที่ลงมาสำรองแทนมาติป เสียตำแหน่ง มาร์ติเนลลี่ เล่นแบบเดิม ออกบอลตัดแบ็คให้ ชาก้า ยัดเข้ากลางที่เพื่อนรอเข้าทำหลายคน แม้จังหวะนี้จะจบไม่ได้ ฟาบินโญ่ เตะทิ้งออกมา แต่กลายเป็นเคลียร์ไม่ดี บอลมาถึงมาร์ติเนลลี่ อีกครั้ง และเพลย์นี้ก็เริ่มขึ้น
มาร์ติเนลลี่ คืนให้ชาก้าแบบเดิม ๆ ที่เล่นกันมาหลายรอบแล้ว ชาก้าไม่คิดเยอะ ยัดเข้าไปเหมือนเดิม กองหลังลิเวอร์พูล เต็มไปหมดแต่ก็รวนไปมาก สุดท้ายบอลมาถึง เฆซุส และกลายเป็นติอาโก้ เตะไปโดนขาของเฆซุสแทน และกลายเป็นจุดโทษทันที ซาก้า รับหน้าที่สังหารเข้าไป
15 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูล หมดทางเลือกพวกเขาใส่ทุกสิ่งที่เป็นไปได้ในการได้ประตู ในสถานการณ์ที่บีบหัวใจทั้งสองทีม ฝ่ายหนึ่งเติมบุก ฝ่ายหนึ่งเติมเกมรับ หากเป็นสถานการณ์เมื่อหลายปีก่อน ลิเวอร์พูล ชุดนี้มักมีลูกฮึดในสถานการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น วันที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด และมันต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้
อาร์เซนอล ชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 เป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบ 10 เกมที่พบกัน เป็นหนึ่งในเกมใหญ่ของปีนี้ที่พวกเขาก้าวกลบเสียงวิจารณ์ที่มักบอกว่าพวกเขามีปัญหาทุกครั้งที่เจอทีมใหญ่ และกลายเป็นจ่าฝูงอีกหนึ่งสัปดาห์ในช่วงก่อนเข้าสู่กลางเดือนตุลาคมที่จะเป็นเดือนสุดท้ายก่อนขเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายกลางเดือนหน้า ท่ามกลางความฝัน ความหวัง ที่แฟนบอลอาร์เซนอล แอบหวังกันลึกบ้าง ตื้นบ้าง และเริ่มส่งเสียงกันออกมาบ้าง ปีนี้ปืนใหญ่ก็พอจะได้ลุ้นกับเขาบ้างเหมือนกัน บนข้อเท็จจริงที่ว่าเหลืออีก 29 เกมในลีกให้ต้องสู้กันต่อ และอาร์เซนอลยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยในฤดูกาลนี้ อาร์เซนอลในยุคของ “ยังกันส์” กับทีมที่สร้างขึ้นมาตลอด 3 ปี กำลังอยู่ในช่วงที่เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตที่พยายามกันมาตลอดหลายปี ที่เหลือต่อจากนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขาอย่างยิ่ง กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่แม้จะไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรแต่ก็น่าท้าทายสำหรับพวกเขา