ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

“คุณค่าของการยืม”

     “ยืม” เป็นคำที่หมายถึง การนำสิ่งใดก็ตามจากผู้อื่นมาใช้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วจะคืนให้หรือใช้คืนให้ เป็นหนึ่งในคำที่ทุกคนต้องเคยพูด หรือเคยปฏิบัติกันมาหมดแล้วในช่วงชีวิตของเรา แต่สำหรับในวงการฟุตบอล การ “ยืม” เป็นหนึ่งในเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ไม่กับทุกคน เพียงแต่ในฟุตบอลยุคใหม่ เรื่องของการยืมตัวผู้เล่น เป็นหนึ่งในแผนการทำทีมรูปแบบหนึ่งที่หลายทีมเลือกนำมาใช้

 

     อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูล หรือว่าสองทีมจากแมนเชสเตอร์ พวกเขามีการปล่อยตัว นักเตะ จำนวนมากออกจากทีมไปในแบบยืมตัว เพื่อผลประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ

 

  • การทดสอบที่จะประเมินความสามารถของผู้เล่น
  • การเพิ่มพูนประสบการณ์ของนักเตะ
  • การเพิ่มมูลค่าของนักเตะ

หนึ่งในทีมที่ใช้แนวทางนี้และประสบความสำเร็จมากที่สุด

     เชลซี เป็นหนึ่งในทีมที่ใช้แนวทางนี้และประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่ง พวกเขาได้ นักเตะ อย่าง เมสัน เม้าท์ (22 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) กลายมาเป็นกำลังหลักของสโมสร ณ เวลานี้ เช่นเดียวกับ รีส เจมส์ (21 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) ทั้งสองคนกลายเป็น นักเตะ ทำเนียบทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปแล้ว ยังไม่รวมถึงอีกหลายคนที่ ณ เวลานี้ แม้จะไม่ได้อยู่กับสโมสรแล้ว แต่ก็สามารถสร้างรายได้ในการขายได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น แทมมี่ อับราฮัม (โรม่า), ฟิคาโย่ โทโมริ (เอซี มิลาน) รวมถึง มาร์ค เกฮี (คริสตัล พาเลซ) เป็นตัวอย่างล่าสุด ที่ผ่านการยืมตัว และแม้ว่าจะไม่ได้ไปต่อกับทีม แต่พวกเขาเหล่านี้ก็มีเส้นทางอาชีพ เส้นต่อไปให้เดินหน้า

 

     แน่นอนในวงการฟุตบอล ไม่มีที่ว่างสำหรับทุกคน คุณอาจจะได้เข้ามาในวงการฟุตบอล แต่อาจไม่ได้จบลงด้วยการเลิกเล่นฟุตบอล หลายคนเลิกเล่นกลางคัน หลายคนไม่เคยประสบความสำเร็จ หรือลงเล่นในระดับท็อปเลยตลอดชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เชื่อเถอะว่า โอกาสจะมาหาเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก แต่ทุกคนจะมีโอกาสของตนเองอยู่เสมอ “ได้” หรือ “ไม่ได้” ขึ้นกับตัวของเราเองเป็นสำคัญ

 

     เช่นเดียวกับเรื่องราวของ นักเตะ ที่ผ่านการ “ยืมตัว” มาแล้ว และเขายืนยันว่า เขาได้รู้ซึ้งถึง “คุณค่าของการยืม” ไม่น้อยกว่าคนอื่น เพราะมันทำให้เขามีวันนี้ วันที่กลายเป็น นักเตะหมายเลข 10 คนใหม่ของสโมสรอาร์เซนอล

 

     เอมิล สมิธ โรว์ (21 ปี สัญญาถึงกลางปี 2026) กำลังอยู่ในช่วงสำคัญอีกหนึ่งช่วงในการเล่นฟุตบอลอาชีพ เมื่อเขาได้รับเสื้อหมายเลขประวัติศาสตร์ของสโมสร และมันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ของเด็กคนหนึ่งที่เกิดทางตอนใต้ของลอนดอน เพื่อมารับภาระใหญ่ให้สโมสรจากลอนดอนเหนือ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมายเพื่อเดินมาจนถึงวันนี้

 

     “เดอ บรอยน์ แห่งครอยดอน” เป็นชื่อที่หลายคนเรียกเขา ในฐานะที่เกิดในเมือง ครอยดอน ทางตอนใต้ของลอนดอน แต่ว่าครอบครัวย้ายบ้านมาทางเหนือ และเขาได้รับการเซ็นสัญญากับ อาร์เซนอล ในปี 2010 ซึ่งเขามีอายุครบ 10 ปีพอดี และพัฒนาตนเองเรื่อยมา ซึ่งก่อนที่จะมาได้ร่วมงานกับ มิเคล อาร์เตต้า ในฐานะของ เจ้านาย – ลูกน้อง เขาสองคนเคยทำงานกันในฐานะของ “รุ่นพี่-รุ่นน้อง” กันมาก่อนหน้านี้แล้ว และมันคงไม่มีวันนั้นเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่ได้รับความสนใจจาก อาร์เซนอล แทนที่จะเป็น สเปอร์ส ทีมรักของพ่อของเขาเอง ที่อยากเห็นลูกชายสวมเสื้อขาว มากกว่าเสื้อแดงแขนขาวของอริร่วมเมือง

 

     “ตอนเด็ก ผมนั่งดูทีวีกับพ่อ ดูสเปอร์สลงเล่น พ่อของผมเป็นแฟนบอลพันธุ์แท้ของทีมเลยล่ะ ผมเกือบได้เซ็นสัญญากับ สเปอร์ส แล้วแต่สุดท้ายผมก็ได้ย้ายมาที่ อาร์เซนอล มันอาจจะขัดใจพ่อผมอยู่บ้าง แต่เขาก็มีความสุขที่ผมเห็นลงเล่น แม้เกมนั้นจะเป็นการเอาชนะสเปอร์สก็เถอะ”

 

     “มิเคล เคยมาทำงานเป็นโค้ชฝึกหัดกับทีมอายุต่ำกว่า 16 ปี ของสโมสร ตอนนั้นเขากำลังเรียนงานด้านโค้ชอยู่ด้วย แต่ก็ยังลงเล่นกับทีม เป็นกัปตันทีมของสโมสร เขาลงมาสอนพวกเรา มันน่าเหลือเชื่อไหมล่ะ พอมองย้อนกลับไป มันก็บ้าดีนะ ที่ตอนนี้เขาคือผู้จัดการทีมชุดใหญ่ เขาเป็นคนที่สั่งการอยู่ตลอด กระตุ้นทีมเสมอ และตอนคุณเด็ก คุณก็ต้องการให้มีใครสักคนมาช่วยมาสอน หลายครั้งเขาดึงผมออกจากการซ้อม และบอกให้ผมดูการเล่นว่าต้องทำอย่างไร มันเป็นช่วงที่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง”

เส้นทางที่แยกกันออกไป

     ทั้งสองคนแยกเส้นทางกันออกไป อาร์เตต้า ประกาศแขวนสตั๊ดกับ อาร์เซนอล หลังจบฤดูกาล 2015-2016 เขาเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป เริ่มจากการไปเรียนงานโค้ชกับสมาคมฟุตบอลทีมชาติเวลส์ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะของผู้ช่วย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในขณะที่ สมิธ โรว์ ยังคงอยู่ในทีมสำรองของสโมสร และเริ่มมีชื่อเสียงจากการได้รับการสนับสนุนจาก อูไน อเมรี่ ให้เริ่มขึ้นมาลองของกับทีมชุดใหญ่ในปี 2018 และขั้นตอนการยืมตัวของเขาก็เริ่มต้นขึ้น

 

     ด้วยวัย 18 ปี เขาถูกส่งตัวไปเล่นกับ อาร์เบ ไลป์ซิค ในบุนเดสลีกา เยอรมัน ในช่วงเดือนมกราคม 2019 ที่ซึ่งเป็นความล้มเหลวครั้งหนึ่งของเขา เมื่อเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ตลอดช่วงเวลาที่นั่นเขาได้ลงเล่นไปเพียง 28 นาทีเท่านั้น

 

     “ไลป์ซิค เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับผม มันเป็นการเดินทางใช้ชีวิตที่ต่างประเทศครั้งแรก ประสบการณ์ใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และภาษาใหม่หมด ผมไม่รู้จักใครเลย ต้องอยู่คนเดียวทำทุกอย่างเองหมด แต่มันก็ช่วยผมได้เยอะมากในการพัฒนาตัวเอง ผมไม่เสียใจที่ผมย้ายไปที่นั่นเลย มันทำให้ผมแกร่งขึ้น”

 

     “ภาษาเยอรมันของผมไม่ดีเลย ผมพูดได้น้อยมากเพียงไม่กี่คำเพื่อสื่อสารแบบง่าย ๆ บางครั้งผมยังโดนเพื่อนร่วมทีมแซวเรื่องภาษาเยอรมันของผมด้วย”

 

     เขากลับมาที่ อาร์เซนอล อีกครั้งด้วยความผิดหวัง และหมดเวลาช่วงหนึ่งไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งสโมสรยืนยันว่าไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าร่างกายที่แข็งแรง และเพื่อให้เป็นไปตามนั้น สมิธ โรว์ ถูกสั่งห้าม รวมถึงได้รับการดูแลจากสโมสรอย่างดีจนมั่นใจว่า อาการบาดเจ็บของเขาจะหายสนิทพร้อมกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และเมื่อหายสนิท กลับมาลงเล่นได้ไม่นาน สโมสรก็ตัดสินใจปล่อยยืมตัวเขาเป็นครั้งที่สอง กับสโมสร ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ซึ่งอยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ และคราวนี้ เขาไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง ช่วงเวลาที่นั่น เขาลงเล่นไปทั้งหมด 19 เกม ทำไป 2 ประตู กับ 3 แอตซิสต์ แม้ว่าจะโดน แดนนี่ คอว์ลีย์ ผู้จัดการทีมในเวลานั้น เปลี่ยนตัวออกบ่อยครั้ง แม้จะผลงานดีก็ตาม

 

     “เรามีการพูดคุยกับ อาร์เซนอล มาก่อนที่จะดึงตัวเขามาร่วมทีม หนึ่งในนั้นคือเรื่องการจัดการเวลาในสนามของเขา เพราะเขามีปัญหาบาดเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง และบางครั้งเราก็ต้องดูแลตรงนี้ แม้จะเป็นเกมสำคัญ หลายครั้ง ผมโดนโห่จากการตัดสินใจเปลี่ยนเขาออกมา แต่สำหรับทุกคน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเขา เขาเป็นเด็กที่มีอนาคตที่ดี และอยู่ในช่วงสำคัญในการก้าวต่อไปข้างหน้าในอาชีพ”

 

     “เขาทำให้ผมคิดว่า แจ็ค กรีลิช มากกว่า เควิน เดอ บรอยน์ อีกนะ เขามีความสามารถในการพาบอลผ่านแนวรับได้เก่งมากคนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาขาดไปคือเรื่องของการยิงประตู หากเขาอยากจะกลายเป็น นักเตะ ที่เก่งกว่านี้ หรือไปถึงระดับท็อป สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่า แอตซิสต์ ที่เขาทำได้ สำหรับผมความเฉียบขาดในกรอบเขตโทษ คือสิ่งสำคัญมากสำหรับเขาที่ยังต้องพัฒนาให้มาก”

 

     การยืมตัวของ สมิธ โรว์ และนักเตะอีกหลายร้อยคนทั่วโลกถูกยืดระยะออกไปจากกรณีการระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่ทำให้ลีกต้องเลื่อนแข่งขันนานถึง 3 เดือน โดยที่ในระหว่างนั้น อาร์เซนอล ได้ทำการติดต่อกับนักเตะทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์ระบาด และสุขภาพของทุกคน รวมถึงมีการมอบโปรแกรมการฝึกซ้อมให้กับ นักเตะเป็นการส่วนตัว ในระหว่างกักตัวอยู่บ้าน ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นอีกครั้งในเดือน กรกฎาคม 2020

 

     “ฮัดเดอร์สฟิลด์ เป็นช่วงที่ดีมากสำหรับผม ผมแกร่งขึ้นมากในเรื่องของสภาพร่างกาย และรู้สึกตัวเองมั่นใจขึ้นเยอะตอนลงสนาม โจนาธาน ฮ๊อค คือหนึ่งในคนที่ผมชื่นชมในความเก่งของเขา เพราะตั้งแต่การลงซ้อมครั้งแรก ผมก็เจอเขาไล่บี้ ไล่ชนผมทุกจังหวะ มันเป็นการสอนด้วยการซ้อมที่ผมจำไม่ลืม เช่นเดียวกับการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของทีม นี่คือประสบการณ์ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน และมันโหดร้าย กดดันมาก”

 

     การกลับมายัง อาร์เซนอล หลังจบฤดูกาลที่ยาวนานกว่าปกติ สมิธ โรว์ สิ้นสุด “การทดสอบสุดท้าย” กับการยืมตัว เขาช่วยให้ทีมรอดตกชั้นได้แบบหวุดหวิด พร้อมกับได้รับการประเมินว่าจะเป็นหนึ่งในกำลังสำรองของทีมชุดใหญ่ เพื่อรอโอกาสในการลงเล่นกับทีมในฤดูกาลต่อมา

“เดอ บรอยน์ แห่งครอยดอน”

     อย่างไรก็ตาม สมิธ โรว์ ต้องหยุดพักอย่างโชคร้ายจากอาการบาดเจ็บหัวไหล่ ที่ทำให้สามเดือนแรกของเขา หมดไปกับการฟื้นฟู จนกระทั่งเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2020 ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อ มิเคล อาร์เตต้า เลือกเขาลงสนามในเกมพบกับ เชลซี และเกมจบลงด้วยชัยชนะ 3-1 ของทีมปืนใหญ่ที่ซึ่ง สมิธ โรว์ ลงเล่นนาน 65 นาทีในเกมนั้น พร้อมรับคำชื่นชมมากมายกับผลงานของเขา กับเกมแรกในลีกให้กับ อาร์เซนอล ในรอบ 1 ปีพอดี

 

     หลังจากนั้น เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมมาโดยตลอดจนกระทั่งกลายเป็นหมายเลข 10 ของ อาร์เซนอล ณ​ เวลานี้ ที่มันมาพร้อมกับความเชื่อมั่นในตัวของ มิเคล อาร์เตต้า ที่มีต่อเขาเช่นกัน

 

     “ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ในช่วงที่กลับมาที่ อาร์เซนอล ผมกลับมาพร้อมกับความเชื่อมั่นที่ว่า ผมทำงานได้ดีตลอดเวลาที่ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ผมไม่เจอกับปัญหาบาดเจ็บ และทำผลงานได้น่าพอใจ ผมคิดว่า ผมเป็น นักเตะ ที่จะเล่นได้ดีถ้ามีความเชื่อมั่น”

 

     เอมิล สมิธ โรว์ ณ เวลานี้ เขาอาจจะถูกเรียกว่า “เดอ บรอยน์ แห่งครอยดอน” ที่มาจากชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ นักเตะที่เขาชื่นชมเป็นการส่วนตัว แต่นับจากนี้ เส้นทางของเขาที่เพิ่งเริ่มต้น จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงตัวเขาเอง ผลงานของเขาจะเป็นการบ่งชี้ว่า เขาจะกลายเป็น “สิ่งใด” ในวงการฟุตบอล และเขาจะดีพอที่สักวันหนึ่งจะมีคนบอกว่า ดาวรุ่งคนหนึ่ง ฟอร์มดี เห็นแล้วคิดถึง “สมิธ โรว์ คนใหม่” ได้หรือเปล่า มันก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องรอติดตามกันต่อไป

 

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาปลอบใจให้พ่อหายเคืองได้หรือยัง เมื่อลูกชายสุดที่รัก เพิ่งยิงประตูใส่ สเปอร์ส ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง!

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้