ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

คุยกับ “ฟาน เดอ ซาร์” Part 1

     ชายคนนี้อายุ 50 ปีแล้วในปี 2020 ในวันที่ฟุตบอล อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดฤดูกาลหนึ่ง วุ่นวายที่สุดปีหนึ่ง กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องบอกว่าส่งผลกระทบกันถ้วนหน้า ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม

     เนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศยุโรป ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง มีการ “ล๊อคดาวน์” หลายครั้ง หลายเมือง เพื่อหยุดการแพร่ระบาดครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ฟุตบอล เอเรเดวิซี ลีก กลับมาลงทำการแข่งขันแล้ว ตามรูปแบบที่หลายคน “เริ่มคุ้น แต่ไม่ก็อยากเคย” กับการลงเล่นแบบไม่มีผู้ชม หรือที่เรียกว่าเล่นกันแบบ ปิดสนาม นั่นเอง

     เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ผ่านการลงเล่นกับหลายสโมสรใหญ่ทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ยูเวนตุส, ฟูแล่ม และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยประสบความสำเร็จมากมายตลอดชีวิต รวมถึงแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเคยคว้าแชมป์สองครั้ง โดยแบ่งออกเป็น อาแจ็กซ์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างละหนึ่งสมัย ขณะที่กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ฟาน เดอ ซาร์ ผ่านการเล่นถึง 130 เกม และเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ มากเป็นอันดับที่สองของประเทศ  

     ในวัยครึ่งร้อยพอดี ฟาน เดอ ซาร์ เลิกเล่นฟุตบอลในปี 2011 กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และกลับมารับงานเป็นผู้บริหารคนสำคัญของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง และเขากำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่ต้องเจอกับ ความท้าทายครั้งใหม่ สนามใหม่ที่ไม่ใช่สนามฟุตบอล นั่นคือ สนามธุรกิจ ที่เขายอมรับว่า โหด และยากกว่า สมัยเป็น นักเตะ มากกว่าเยอะ

หน้าที่ผมคือการประสานงาน ติดต่อสื่อสาร สร้างความเชื่อมั่นใจให้กับคนรอบข้างทุกคน

     “การลงเล่นเป็น นายทวาร ผมต้องรู้จักกับทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง คุยกับกองหลังทุกคนที่เล่นด้วยกัน เรียนรู้จากโค้ช ทำให้ทุกอย่างในแนวรับมั่นคง ถ้าหากแบ็คซ้าย เติมเกมรุก แบ็คขวาต้องอยู่ในเกมรับ แม้เราต้องการเล่นเกมบุก แต่ผมก็ต้องมีทางเลือกในการจัดการ เล่นบอลสั้น หรือว่า บอลยาว ผมก็ต้องประสานงานกับแนวรับ คุยกันได้ พอผมมาเป็นผู้บริหาร มันก็คล้ายคลึงกัน หน้าที่ผมคือการประสานงาน ติดต่อสื่อสาร สร้างความเชื่อมั่นใจให้กับคนรอบข้างทุกคน นั่นคืองานของผม”

     “ในทางกลับกัน ทีมงานของผมก็มีหน้าที่ ซึ่งเฉพาะเจาะจงของแต่ละคน ผู้อำนวยการการเงิน เก่งการเงินมากกว่าผม หรือผู้อำนวยการด้านการสื่อสาร ก็เก่งเรื่องสื่อมากกว่าผม พวกเขาเหมือน ปาทริซ เอฟร่า และแกรี่ เนวิลล์ ในสนามนั่นแหละ หน้าที่ผมคือการสั่งงาน และกำหนดทิศทางเป็นสำคัญ”

     “ตอนผมเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 2011 ผมได้มีโอกาสคุยกับ โยฮัน ครอยซ์ เขาบอกกับผมว่า เขาอยากได้อดีต นักเตะ ที่เคยอยู่ในระดับท๊อป และผ่านทั้งประความสำเร็จ และความล้มเหลวมาแล้ว, ผ่านการรับมือกับแรงกดดัน และความเครียด รวมถึงต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ บอร์ดบริหาร”

     “ผมคิดว่ามันเป็นความท้าทาย และผมอยากตอบแทนอะไรคืนกลับไปให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรให้โอกาสผมมาตลอดชีวิตการเป็น นักเตะ และนั่นทำให้สุดท้ายแล้ว ผมรับข้อเสนอเป็น ผู้อำนวยการด้านการตลาดของสโมสร”

     “งานของผมคือการเดินทางไปทั่วโลก ผมเคยเดินทางไปยังประเทศจีน หรือว่าในสหรัฐอเมริกา เป้าหมายคือการหา พาร์ทเนอร์ ที่เหมาะสม แน่นอนว่า ชื่อเสียงของผมสมัยเป็นนักเตะช่วยเหลือผมได้มาก โดยเฉพาะการเข้าไปแนะนำตัว เพื่อนำเสนอโอกาสในการร่วมงานกัน แต่มันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น พอมีการเจรจากันจริง มันก็คือเรื่องของธุรกิจ นั่นคือเรื่องของประโยชน์ร่วมกัน และมันไม่ง่ายเลยในแต่ละครั้ง ที่จะปิดดีล”

กลายเป็น ซีอีโอ ของสโมสร

หลังจากทำงานในตำแหน่ง ผู้อำนวยการด้านการตลาด มาหลายปี ในปี 2016 เขาได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็น ซีอีโอ ของสโมสร

     อาแจ็กซ์ เป็นสโมสรที่ได้รับการยอมรับว่าคือ สโมสรที่มีการพัฒนาระบบเยาวชนได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศเนเธอร์แลนด์  โดย อาแจ็กซ์ พัฒนาทีมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยังคงสั่งสมความสำเร็จในประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับในเวทีฟุตบอลยุโรป พวกเขาเคยเข้าชิง ยูโรป้า ลีก ในปี 2017 รวมถึงตกรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2019 มาแล้วเช่นกัน

     อย่างไรก็ตาม เอเรเดวิซี ลีก ดัตซ์ กลับไม่ใช่ ลีกที่ได้รับความนิยมในระดับชั้นนำของยุโรป และนั่นทำให้ลีกดัตซ์ ไม่ใช่ “ปลายทาง” สำหรับ นักเตะ ในช่วงฟอร์มที่ดีที่สุด ส่วนมากจะเลือกย้ายไปเล่นกับสโมสรระดับชั้นนำ และ อาแจ็กซ์ ก็ยอมรับในเรื่องนี้ พร้อมกับปั้น นักเตะ ดาวรุ่งความสามารถดีเข้าสู่ทีม และปล่อยตัวพวกเขาออกจากทีม เมื่อถึง “เวลาที่เหมาะสม ราคาเหมาะสม และ นักเตะ ต้องการออกจากทีม” และไม่อาจจะเทียบกับลีกใหญ่ได้ อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับ ดีลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่ไม่สามารถหาได้รายได้มากเท่า พรีเมียร์ ลีก, ลา ลีกา, ลา ลีกา, บุนเดสลีกา หรือว่า ลีก เอิง

ปัญหาที่เข้ามา อย่างรุนแรง

     ในฤดูกาล 2020-2021 อาแจ็กซ์ ได้ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดเพียง 8.2 ล้านปอนด์ ซึ่งต่างกันมากกว่า 15 เท่าของ พรีเมียร์ ลีก ซึ่งทีมอันดับท้ายตารางของลีก จะได้รับเงินมากถึง 120 ล้านปอนด์ ในขณะที่การะบาดของโควิด-19 ทำให้ อาแจ็กซ์ เสียรายได้ประมาณ 40 ล้านปอนด์ ในการได้เงินจากการเข้าชมเกมการแข่งขัน รวมถึงช่องทางการหารายได้อื่นๆ ที่หายไปด้วย

     “หลายคนอาจบอกว่า เราเป็นทีมที่ขายได้ราคาดี ในความเป็นจริงที่ว่า เราเองก็เสีย นักเตะ ที่ดีที่สุดของเราในทุกฤดูกาล ตรงกันข้ามกับ เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรือว่า เชลซี พวกเขาอาจจะเสีย นักเตะ ที่พวกเขาไม่ได้ต้องการออกจากทีม และพร้อมทุ่มเงินมหาศาล เพื่อนำเข้านักเตะใหม่เข้ามาแทน ส่วนเราขายได้แพง ได้ราคาดี แต่เราก็ต้องเจอกับงานยาก เช่นเราอยากได้ นักเตะ คนหนึ่งราคา 25 ล้านยูโร แต่เมื่อมีสโมสรใหญ่จากลีกใหญ่ ยื่นข้อเสนอเข้ามา เราก็จะเป็นรองทันทีเช่นกัน มันคือสถานการณ์อีกด้านที่เราต้องเจอ และมันคือสถานการณ์ที่ยากมากเช่นกัน”

     “ตอนนี้ผมมีเสื้อแข่งค้างสต๊อกอยู่จำนวนไม่น้อย ที่ยังขายไม่ออก เพราะเราไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ร้านค้าของเราก็ปิด ไม่มีคนเข้า ไม่มีทัวร์สนาม และนั่นก็คืออีกหนึ่งช่องทางการหารายได้ของเราอีกทาง แต่เป้าหมายของเรา คือการเก็บทีมงานของสโมสรไว้ทั้งหมดให้ได้ เพื่อรอว่าเมื่อทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง”

 

โปรดติตตามตอนต่อไป

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้