จอห์น โอบี มิเคล (ไนจีเรีย; 33 ปี) ชื่อนี้อาจจะหลุดออกจากสารบบ ความทรงจำของใครหลายคนไปบ้างแล้ว หลังจากเขาออกจาก เชลซี ในปี 2017 แต่ถึงวันนี้เขายังคงลงเล่นฟุตบอลอยู่ในอังฤษ แม้จะเป็นสโมสรในระดับ เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ อย่าง สโต๊ค ซิตี้ ก็ตาม
กองกลางไนจีเรีย นับว่าเป็น นักเตะ ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ กับ 11 ฤดูกาลที่เชลซี เขาคือ นักเตะ แชมป์พรีเมียร์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, 1 ลีก คัพ, 1 ยูโรป้า ลีก และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2012 ก่อนที่จะตัดสินใจอำลาทีมในอีก 5 ปีต่อมา
“วันที่ผมออกจากสนามซ้อมของเชลซีเป็นวันสุดท้าย วันนั้นผมร้องไห้ออกมา ผมไปต่อไม่ไหว จนต้องจอดรถข้างถนนอยู่ระยะหนึ่ง นั่นคือช่วงเวลาที่ผมตระหนักได้ถึง 11 ปี ที่ผมอยู่กับสโมสร เชลซี มันมีเรื่องราวมากมายแค่ไหน ผมทำอะไรแบบเดิมที่นี่มาโดยตลอด ใช้งานล๊อคเกอร์เก็บของเดิม ขับรถเดินทางไปยังสถานที่เดิมทุกวัน เชลซี คือบ้านหลังที่สองของผม ผมมักมาถึงสนามซ้อมของทีมตอน 9 โมงเช้า และกลับบ้านตอนบ่ายสามโมงเย็น ผมใช้เวลากับที่นี่มากกว่าบ้านของตนเองด้วยซ้ำ”
ช่วงเวลาตลอด 11 ปี กับ เชลซี มิเคล ได้กลายเป็นหนึ่งใน นักเตะ ระดับตำนานของสโมสร ที่ได้ร่วมงานกับ เพื่อนร่วมทีมชั้นยอดมาตลอดชีวิตการเป็น “เด็กสิงห์” เขากลายเป็น นักเตะ ต่างชาติที่ลงเล่นกับทีมมากที่สุดเป็นลำดับที่ 5 ต่อจาก ปีเตอร์ เช็ก (494 เกม), เซซาร์ อัสปิลิกวยต้า (415 เกม), ดิดิเยร์ ดร๊อกบา (381 เกม) และบรานิสลาฟ อิวาโนวิช (377 เกม) ที่ลงเล่นมากกว่าเขา
และต่อจากนี้คือเรื่องราวของ จอห์น โอบี มิเคล กับช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตการเป็น นักเตะ เชลซี ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นของเด็กหนุ่มจาก ไนจีเรีย คนนี้
มิเคล เติบโตขึ้นในเมืองที่ชื่อว่า จอช รัฐพลาตู ประเทศไนจีเรีย ก่อนที่จะเข้าสู่สโมสร พลาตู ยูไนเต็ด สโมสรที่เคยปลุกปั้นดาวรุ่ง ไนจีเรีย ที่กลายเป็นสตาร์ของทีมชาติในเวลาต่อมาอย่าง วิคเตอร์ โอบินน่า, เซเลสติน บาบายาโร่ รวมถึง คริส โอโบโด มาแล้ว อย่างไรก็ตาม มิเกล สร้างชื่อเสียงให้ระดับนานาชาติเริ่มรู้จักเขาครั้งแรกในปี 2003 เมื่อเขาลงเล่นกับ ทีมชาติไนจีเรีย ในรุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี ในปี 2003 ที่ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งแม้ว่า ไนจีเรีย จะตกรอบแรก แต่ มิเกล กลับทำผลงานได้ดี จนได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป ก่อนที่สุดท้ายเขาจะได้ย้ายไปเล่นใน นอร์เวย์ กับสโมสร ลินน์ สโมสรในกรุงออสโล เมืองหลวงของดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน
ทั้งนี้ มิเคล ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของเขา แท้จริงแล้วเขาชื่อว่า “ไมเคิ่ล” แต่สมาคมฟุตบอลไนจีเรียใส่ชื่อของเขาผิดกลายเป็น “มิเคล” และนับจากนั้นคนทั่วโลกก็จะรู้จักชื่อของเขาว่า มิเคล
หลังจากลงเล่นกับ ลินน์ สองปี เขาลงเล่นในทีมชาติไนจีเรีย กับทัวร์นาเมนต์ ฟีฟ่า เวิล์ด ยูธ ในปี 2005 และคราวนี้ ไนจีเรีย เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะพ่าย อาร์เจนติน่า โดย มิเคล คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ลำดับที่สอง เป็นรองเพียง ลิโอเนล เมสซี่ คนเดียวเท่านั้น
การย้ายทีมของเขากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะเป็นการแย่งชิงกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ซึ่งแรกเริ่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศการเซ็นสัญญากับเขาแล้ว แต่ นักเตะ กลับมีความต้องการย้ายไปร่วมงานกับเชลซีมากกว่า ก่อนที่ทุกอย่างจะลงตัวด้วยการย้ายร่วมงานกับ เชลซี ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์
โดย มิเคล สร้างชื่อมาจากการเป็น นักเตะ ในตำแหน่งกองกลางตัวรุก อย่างไรก็ตามการเข้ามาสู่ เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่โปรตุเกส มองเห็นถึงศักยภาพในการเล่นเกมรับของเขา และปรับเขาลงเล่นในกองกลางตัวรับ ทำงานแบบปิดทองหลังพระ เฉกเช่นเดียวกับที่ โคล้ด มาเกเลเล่ รุ่นพี่ผู้ซึ่งสอนอะไรให้กับเขามากมาย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่ไม่พอใจจากแฟนบอลทีมชาติไนจีเรีย ที่ปรับตำแหน่งของ นักเตะ ขวัญใจของพวกเขาจาก “ตัวรุก” กลายเป็นมาเป็น “ตัวรับ”
“สิ่งที่แฟนบอลต้องการในใจสองอย่าง สำหรับ นักเตะ คือหนึ่งยิงประตู สองทำแอตซิสต์ ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น คุณก็ไม่ใช่ นักเตะ ขวัญใจแฟนบอลมากนัก ผมเติบโตมา และก็เข้าใจได้ทันที กับการได้คุยกับ โคล้ด มาเกเลเล่ ในฤดูกาลแรก เขารู้ว่าผมกำลังจะต้องมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ และเขาบอกกับผมว่า “นายต้องเข้าใจก่อนนะคนเล่นตำแหน่งนี้ นายไม่ต้องหวังว่าจะมีรางวัลอะไรให้ เพราะนายต้องทำงานหนัก และสกปรกเพื่อทีม เพื่อให้แน่ใจว่าทีมจะเป็นผู้ชนะ และชื่อเสียงของเหล่าตัวรุกในทีม” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกผม และคนอย่าง มาเกเลเล่ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว พูดกับคุณ คุณต้องฟัง เขาบอกต่อด้วยว่า เขาชนะมาหมดแล้ว ทั้งใน เรอัล มาดริด ซีเนอดีน ซีดาน และแนวรุกคนอื่นได้เครดิตไปหมด แต่ไม่ใช่เขา นั่นทำให้ผมเห็นภาพว่า ตัวผมจะต้องเจอกับอะไรต่อจากนี้ แต่พอได้คุยกันแล้ว ผมกับรู้สึกว่า ผมต้องการลงเล่นในตำแหน่งนี้ เพราะตอนนั้นผมเพิ่งอายุไม่ถึง 20 ปี จะให้ลงเล่น กองกลางตัวรุก หรือกองกลางเชื่อมเกมอะไรก็ได้หมด พอ มูรินโญ่ มาบอกผมว่าต้องการให้ผมลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไม จนกระทั่งการได้คุยกับ โคล้ด มาเกเลเล่ นั่นละ เขาทำให้ผมเห็น เขาสอนผม และทำให้เห็นว่า ทำอย่างไร คุณจะเป็นกองกลางตัวรับชั้นยอด”
โปรดติดตามตอนต่อไป