ในช่วงขวบปีแรกกับเชลซีของ มิเคล จบลงด้วยการคว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ แต่สำหรับผลงานส่วนตัว และการปรับตัวของเขา ค่อนข้างจะลำบากอยู่ไม่น้อย
“ผมจำได้ว่าผมมีปัญหาเรื่องของเวลาไม่น้อยเลยล่ะ ผมเคยไปสายครั้งหนึ่งก่อนเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะพบกับ บาร์เซโลน่า เพราะผมคิดว่าการซ้อมจะเป็นไปตามกำหนดเดิม แต่ที่ไหนได้มันซ้อมกันไปแล้ว โดยที่ผมอยู่บ้านอยู่เลย จนกระทั่งทีมงานโทรมาถามว่า ผมอยู่ที่ไหน…ผมบอกอยู่บ้าน เขาตอบกลับมาว่า อะไรคืออยู่ที่บ้าน ทุกคนในทีมกำลังรอผมคนเดียวทั้งทีม”
“เวลานั้นผมคิดอย่างเดียว “ฉิบหายแล้ว” ผมรีบขับรถไปสนามซ้อมทันที ขับไปคิดในใจไปว่าจะโดนอะไรบ้าง จะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่ นักเตะ ซีเนียร์รอเต็มทีม รวมทั้ง มูรินโญ่ ด้วยแค่นั้นก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะรอดยังไง”
“พอถึงสนามซ้อม เข้าไปห้องแต่งตัว มูรินโญ่ ก็มองมาที่ผม และก็เดินออกเลย แต่สักพักเขาก็กลับมาคุยกับผม และบอกว่า ผมไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้ แต่ด้วยว่าเกมสำคัญกับ บาร์เซโลน่า กำลังจะมาถึง เขาไม่อยากสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีกับทีมแล้วก็เดินไปเลย ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่โดนลงโทษหรอกนะ ผมหลุดจากทีมไปหลายเกม ไม่มีการพูดถึงผมในทีม ผมกลายเป็น นักเตะ ที่นั่งอยู่บนสแตนด์ผู้ชม นั่นละคือสิ่งที่ผมต้องรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
มิเคล กับการทำงานร่วมกับ โชเซ่ มูรินโญ่ นับว่าทำงานด้วยกันทั้งสองช่วงเวลาที่ “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” อยู่กับเชลซี และเขายอมรับว่า มูรินโญ่ คือหนึ่งในคนสำคัญในชีวิตการเป็น นักเตะ อาชีพ ของเขาอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น ที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมืออาชีพ
“เขาไม่ได้แค่สอนผมเกี่ยวกับแง่ของฟุตบอลเท่านั้น เขาสอนผมในการใช้ชีวิตเลยล่ะ ผมย้ายมาเชลซี ผมทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งนอกสนาม ในสนามผมเหมือน นักเตะ ระดับอายุต่ำกว่า 17 ปีของทีมชาติไนจีเรีย ซึ่งไม่นานนัก มูรินโญ่ ก็เข้ามาทำให้ผมตระหนักว่า เชลซี ไม่ใช่ทีมชาติเยาวชนของไนจีเรีย ไม่มีที่ว่างสำหรับความ “ความไม่ตั้งใจ” ถ้าทำไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้”
“มูรินโญ่ ไม่ใช่คนที่จะสนิทกับ นักเตะ เขาเป็นคนที่มีมุมที่ดี แต่ในการทำงานเขาก็พร้อมลงโทษ นักเตะ ทุกคนในแนวทางของเขา ผ่านการแสดงออกของเขา เช่นเดียวกับการเรียกร้องของเขากับการทำงานของทุกคนในทีม ถ้าคนไหนทำไม่ได้ คนไหนดีไม่พอ คุณอาจหลุดจากทีมไปเลย แม้กระทั่งในการซ้อมทีม คุณก็ไม่มีที่ว่าง และแน่นอน มันไม่มีบทลงโทษใดจะรุนแรงไปกว่าการไม่ถูกส่งลงสนามอีกแล้ว แต่ทั้งหมดที่เขาทำ ผมมั่นใจว่า เขาต้องการให้ นักเตะ ผลงานดี รีดเร้นศักยภาพของทุกคนออกมาให้ได้ อยากให้ทุกคนเต็มที่กับงานของตนเอง ผมเชื่อว่าเขาทราบดีว่า นักเตะ ในทีมมีศักยภาพ แต่จะถูกนำออกมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ตรงนี้คือหน้าที่ของโค้ช และนักเตะแต่ละคน เขาเป็นโค้ชที่เชื่อมั่นนักเตะมากคนหนึ่งเลยล่ะ ถ้าเขายังทำงานร่วมกับคุณ นั่นคือ เขาเชื่อมั่นในตัวคุณ สุดท้ายแล้วอยู่ที่ตัวเราจะทำแบบที่เขาต้องการได้ไหม สำหรับตัวผม ผมอยากเก่งขึ้น ผมอยากอยู่ในทีมของเขา ผมก็ต้องพยายามทำให้ได้”
“การทำงานกับ มูรินโญ่ คือการทำงานหนัก เขาเคี่ยวเข็ญคุณ เรียกร้องการทำงานจากคุณ เพื่อให้คุณทำงานได้แบบที่ต้องการ เขาจะอัดงานให้คุณอย่างหนัก กระตุ้นคุณตลอดเวลาจนกว่าจะได้แบบที่เขาต้องการ ในทางกลับกันเมื่อมันต้องมีช่วงที่คุณ “ทำไม่ได้” ยังไงวันนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ เขาก็จะเข้ามาคุยกับคุณ ให้กำลังใจ เพื่อให้คุณผ่านมันไปให้ได้ สำหรับผม มูรินโญ่ ไม่เคยอ่อนข้อให้กับความต้องการของเขาใน นักเตะ และทีมของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอาเป็นเอาตายกับทุกเรื่อง นั่นคือสิ่งที่ผมสัมผัสได้ และหวังว่า นักเตะ ที่ยังได้ทำงานร่วมกับเขาอยู่จะเข้าใจในมุมนี้ของเขา”
“ผมอยากบอกว่า เขาไม่ได้ทำลายชีวิตการเล่นฟุตบอลของผม จากการที่มาเปลี่ยนตำแหน่งผม (จากกองกลางตัวรุก มาเป็นกองกลางเชิงรับ) หลายคนไม่พอใจกับสิ่งนี้ เพราะเขาเป็นผมเป็นตัวรุกมาตลอด ก่อนย้ายมาที่เชลซี แน่นอน มูรินโญ่ เลือกเปลี่ยนตำแหน่งผม แต่ผมจะไม่บอกหรอกว่า เขาเป็นคนทำลายชีวิตผม เพราะในทีมชาติ ไนจีเรีย ผมก็ยังลงเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 เหมือนกัน และผมประสบความสำเร็จมากมายมาได้ เพราะมีเขาคอยช่วยเหลือผมมาตลอด ผมไม่เคยลืมเรื่องนี้ และขอบคุณเขา”
มิเคล ผ่านช่วงเวลากับ มูรินโญ่ มาจนถึงในยุคของ กุส ฮิดดิ้งค์, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, คาร์โล อันเชลอตติ จนกระทั่งมาถึงการทำงานร่วมกับอีกหนึ่ง ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสอย่าง อันเดร วิลลาส- โบอาช ในปี 2011 มิเคล อยู่ในอังกฤษเข้าสู่ปีที่ 5 เขาแต่งงาน และมีลูกแฝดเพศหญิง ทำให้เป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น แต่แล้วเรื่องที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งก็เกิดขึ้น เมื่อ พ่อของเขาที่อยู่ในประเทศ ไนจีเรีย ถูก “ลักพาตัว” ซึ่งตลอดชีวิตของ มิเคล พ่อของเขาถูกลักพาตัวถึงสองครั้ง โดยครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี 2018
“วิลลาส-โบอาช โทรให้ผมเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อคุยกับผม เกี่ยวกับความพร้อมก่อนเกมแรกของฤดูกาล ถามว่าผมพร้อมไหมกับการลงเล่นในสถานการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้น เขาพร้อมจะสนับสนุนการตัดสินใจของผม 100 % ในเรื่องนี้ ผมตอบกลับไปว่า ผมอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากรอคอยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมจะไม่ยอมนั่งเสียใจหรอก ผมต้องทำให้ตนเองแกร่งเข้าไว้ ผมพร้อมลงเล่นแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากมากแค่ไหนก็ตาม พอผมตอบแบบนั้นไป “เอวีบี” (ชื่อย่อของ อันเดร วิลลาส-โบอาช) ก็ตอบกลับมาว่า “ตกลง งั้นผมจะเลือกคุณอยู่ในทีมที่ไปเล่นกับ สโต๊ค ซิตี้” แต่สุดท้ายพอเอาเข้าจริงในเกมการแข่ง ในสมองผมคิดเกี่ยวกับพ่อ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หลายวันผ่านไป ทุกอย่างจบลงเมื่อ มิเคล ได้รับการติดต่อให้มีการจ่ายเงินค่าไถ่ตัวพ่อของเขาจนได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แต่แล้ว 7 ปีต่อมา เรื่องแบบเดิมก็เกิดขึ้นกับเขา และครั้งนี้มันไม่ใช่แค่เกิดขึ้นในช่วงเกมลีกเกมหนึ่งแบบในครั้งแรก แค่มันคือ ช่วงการเตรียมทีมก่อนลงเล่นในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2018 ที่ ไนจีเรีย ต้องพบกับ อาร์เจนติน่า และพวกเขาต้องไม่แพ้ในเกมนี้เพื่อการเข้ารอบต่อไป
“เรามีการประชุมทีมกันก่อนเกมนี้ หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาในโรงแรมที่พัก เมื่อถึงที่นั่น น้องชายผมโทรเข้ามาหา พร้อมบอกเรื่องเกี่ยวกับพ่อให้ผมทราบ ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเฮงซวยแบบนี้มันจะเกิดขึ้นอีก ผมอยู่ใน รัสเซีย ผมกำลังจะมีเกมสำคัญที่สุดเพื่อประเทศไนจีเรีย และกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็อาศัยช่วงเวลาแบบนี้ ทำกับคนในครอบครัวของผม”
“ผมเหลือเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง ผมต้องลงเล่นในเกมกับ อาร์เจนติน่า” ผมลังเลว่าผมจะไปบอกกับผู้จัดการทีมดีไหมกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ผมเลือกที่จะไม่บอกใครทั้งนั้น ผมทำเพียงแค่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โทรหาแม่ และคนในครอบครัว เพื่อบอกพวกเขาว่า ผมจำเป็นต้องลงเล่นในเกมนี้ มันเป็นเกมสำคัญของไนจีเรีย ทีมต้องการผม ประเทศต้องการผม และผมคือกัปตันทีมชาติไนจีเรีย”
“สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เลวร้ายกว่าครั้งแรกมาก ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ผมพยายามปกติให้มากที่สุด เดินลงสนามลงเล่นตามเกม มันหายนะมาก ผมรู้ว่าพ่อผมผ่านเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และมันแย่มาก มันจะเกิดอะไรขึ้นไหม แค่คิดผมก็อยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่สุดท้ายผมก็กล้ำกลืนทุกอย่าง ทำงานของตนเองต่อไป”
“ซูเปอร์ อีเกิ้ลส์” ไนจีเรีย ตกรอบฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาพ่ายแพ้ต่อ อาร์เจนติน่า 2-1 โดยเสียประตูในช่วง 4 นาทีสุดท้าย มิเคล ยังคงต้องสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตามหน้าที่ของ กัปตันทีม ไม่มีใครทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา และสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงแบบเดิมด้วยการใช้ “เงินแก้ปัญหา” ในเรื่องนี้อีกครั้ง
“ห่วยแตกสิ้นดี แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และคน ๆ นั้นคือ พ่อของผม คนสำคัญของครอบครัว เรามีครอบครัวใหญ่ที่ ไนจีเรีย ที่รอผมกลับไปหา และผมอยากเจอพวกเขาครบทุกคน”
โปรดติดตามตอนต่อไป