จอห์น โอบี มิเคล ลงเล่นกับ เชลซี ยาวนานถึง 11 ปี ผ่านการงเล่นมากกว่า 350 เกม แต่เขาไม่ได้มีช่วงเวลาที่โดดเด่น หรือเป็นที่จดจำมากนัก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2012 เมื่อ เชลซี พ่ายในเกมนั้น 3-2 ในบ้านของตนเอง พร้อมกับการมีปัญหากับ มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก ซึ่งเกมนั้นไล่ นักเตะ เชลซี ออกสองคน คือ เฟร์นานโด ตอร์เรส และบรานิสลาฟ อิวาโนวิช แถมในประตูชัยในเกมนั้นจาก ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ “ชิชาริโต้” เป็นประตูที่เกิดขึ้นในตำแหน่งล้ำหน้า หลังจบเกมมีหลายเรื่องราวเกิดขึ้น และหนึ่งในนั้น รามิเรส กองกลางบราซิเลี่ยน บอกกับ มิเคล ว่า แคลตเทนเบิร์ก ได้ทำการ “เหยียดผิว” มิเคล ด้วยการพูด
“ผมสติหลุดไปเลยนะ ผมโกรธมากในวันนั้น เราแพ้ในบ้านของเราเอง มีการตัดสินของกรรมการหลายครั้ง ที่มันทำให้เกมมันเปลี่ยนไป และมันแย่มากสำหรับเรา ทุกอย่างไม่เป็นใจ และบรรยากาศ มันก็เดือดมาก และผมก็อยากที่จะเจอหน้าของเขาโดยตรง ถ้าเขามีการกล่าวคำพูดแบบนั้นออกมา มันก็ต้องมาพูดกับผมตรง ๆ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รับอนุญาตในการพูดคุยกับเขาโดยตรง และเขาก็ไม่อยากเจอกับผมด้วย”
“มันเป็นช่วงที่สับสนวุ่นวาย ผมไม่คิดว่าจะมีใครเคยเห็นผมมีอาการแบบนั้นมาก่อน มีเพื่อน และทีมงานหลายคนพยายามรั้งตัวผม มีไม่ต่ำกว่า 5 คนที่จะหยุดผมเอาไว้ ผมอยากจะพังประตูห้องกรรมการเข้าไป และถามเขาให้รู้เรื่อง”
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทำให้ เอฟเอ ได้รับรายงานและเข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้โดยตรง และมันจบลงด้วย มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก ได้รับการปกป้องจาก เอฟเอ ขณะที่ มิเคล โดนลงโทษหนักด้วยการปรับเงินจำนวน 60,000 ปอนด์ ตามด้วยโทษแบนอีก 3 เกม จากการแสดงออก กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น โดยมีการระบุว่า รามิเรส ซึ่งเป็นต้นเรื่องของเหตุการณ์เป็นเพียงคนเดียวที่บอกว่า เขาได้ยิน “อะไรบางอย่าง” ที่ไม่เหมาะสม และมาบอก มิเคล อีกต่อหนึ่งเท่านั้น ทำให้ทุกอย่างออกมาเป็นอย่างที่เห็น
“ผมไม่ได้โกรธอะไรกับ รามิเรส กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคือเพื่อนผม ในแง่ของเกมนั้น มันระอุมากอย่างที่บอก ผู้เล่นทุกคนก็เต็มไปด้วย อารมณ์ร่วมในเกมก็สูง เพื่อนคุณบอกว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่าง เขาอาจได้ยินอะไรไม่ชัดเจน ซึ่งไม่ว่าจะได้ยินถูกหรือไม่ แต่ผมก็เชื่อใจเขาเสมอ ใครสักคนที่เราทำงานด้วยกันทุกคน ลงซ้อมฟุตบอลด้วยกันทุกวัน ดังนั้นไม่กล่าวโทษเขาอย่างแน่นอน กับเรื่องที่เกิดขึ้น”
ช่วงเวลาของ จอห์น โอบี มิเคล ประสบความสำเร็จสูงสุดกับ เชลซี กับการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2012 กับชัยชนะเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ที่ลงเล่นใน อัลลิอันซ์ อารีน่า บ้านของ “เสือใต้”
ในฤดูกาล 2011-2012 เชลซี ประสบปัญหาในเรื่องของผลงาน และการเปลี่ยนแปลงโค้ช จาก อันเดร วิลลาส-โบอาช มาเป็น โรเบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่ซึ่งเป็นเหมือน “ตัวตายตัวแทน” แต่กลับสามารถพาทีมของ โรมัน อบราโมวิช ก้าวไปสู่จุดสูงของเวทีฟุตบอลยุโรป และการทำงานกับ ดิ มัตเตโอ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเป็น นักเตะ ของ มิเคล ด้วยฟอร์มอันสุดยอด
“โรเบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กลายเป็นโค้ชที่ทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ดีที่สุด ผมเล่นฟุตบอลดีที่สุด ในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกัน ทั้งการเล่นเกมรับ และเกมรุก เขาให้โอกาส ให้อิสระ ในการเล่นฟุตบอลอย่างเต็มที่ เวลานั้นบางช่วง ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่กลัวที่จะเสียบอลเลย ไม่กลัวว่าจะเล่นผิดพลาด ผมมั่นใจตัวเองมาก”
“วันแรกที่เขาเลือกรับงานกับเชลซี เขาเรียกผมไปที่ห้องทำงานของเขา และบอกว่า เขาต้องการตัวผมเป็นส่วนหนึ่งของทีม เขามองเห็นศักยภาพในตัวผมว่า เขาจะเลือกใช้งานผมอย่างไร แต่สำหรับผม ตอนนั้นผมยังไม่คิดอะไร นอกจากผมพอใจว่า โค้ชใหม่มองเราเป็นส่วนหนึ่งของทีม และนั่นหมายถึงการที่ผมจะได้ลงเล่น สุดท้ายแล้ว การลงเล่นในช่วงนั้น ผมสนุกมาก เล่นเกมรุก เล่นเกมรับ เล่นเพื่อทีม และเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ผมลงเล่นแทบทุกเกมในฤดูกาลนั้น ในฐานะตัวจริง”
เชลซี จากต้นฤดูกาลที่วุ่นวาย พวกเขาเข้าที่เข้าทาง และพุ่งชนความสำเร็จ พวกเขาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก
“บาเยิร์น ในเวลานั้นคือทีมที่น่าเหลือเชื่อมาก เราถูกระบุก่อนเกมว่า เราจะไม่ลงเล่นด้วยการประกบตัว (man-to-man) ดิ มัตเตโอ เลือกที่จะเล่นในแบบที่เขาคิดว่าจะรับมือกับคู่แข่งอย่างไร เกมนั้นผมได้รับคำสั่งว่า ผมต้องลงเล่นในเกมรับ และมีหน้าที่ช่วยเหลือ ดาวิด ลุยซ์ และ แกรี่ เคฮิลล์ ที่เป็นคู่กองหลังในเกมนั้น พอเกมเริ่มต้นขึ้น ผมเห็นพวกเขาสองคนเล่นได้อย่างมั่นใจ ผมเลยคิดในใจว่า โอเค เล่นไปตามเกมของตนเอง ช่วยทีมให้ได้ เราอยากชนะเกมนี้”
“ผมมีเกมที่ดีหลายเกม แต่เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ คือเกมที่ดีที่สุดสำหรับผม กับเชลซี มันคือเวทีใหญ่ เวทีที่พร้อมให้โอกาสคุณแสดงออกว่า คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง บาเยิร์น ลงเล่นเกมนี้ ในบ้านของพวกเขาเอง ในสนามของเขา และแน่นอนมันเต็มไปด้วยแรงกดดัน”
“ชัยชนะในเกมนั้น คือความภาคภูมิใจของผม มันคือะไรที่พิเศษสุด เกมที่ดีที่สุด ในเวทีใหญ่ที่สุด ผมมีเกมที่โชว์ฟอร์มสุดยอดในเกมนั้น มันก็ไม่เลวเลยนะ สำหรับความทรงจำของชีวิต นักเตะ อาชีพคนหนึ่ง”
บาเยิร์น ควรจะเก็บชัยชนะในเกมนั้นได้ เมื่อพวกเขาสามารถยิงประตูนำไปก่อนในนาทีที่ 83 จาก โธมัส มุลเลอร์ แต่แล้วก่อนที่จะหมดเวลาเพียงสองนาที ดิดิเยร์ ดร๊อกบา จะโหม่งประตูตีเสมอ และต้องต่อเวลาพิเศษออกไป ที่ บาเยิร์น มิวนิค ได้โอกาสอีกครั้ง เมื่อพวกเขาได้จุดโทษ แต่ อาร์เยน ร็อบเบน พลาดจุดโทษ จนท้ายที่สุด ต้องมาตัดสินกันด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน ซึ่ง ณ.เวลานั้น “อะไรก็เกิดขึ้นได้” และก็เป็น เชลซี ที่เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 4-3 จาก นักเตะ ฝั่งละ 5 คน
“หลังผ่าน 120 นาที เราเห็นแล้วว่า บาเยิร์น มิวนิค พวกเขาเริ่มเหนื่อย และหงุดหงิด กับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเกม เราทำให้พวกเขาต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนั่นทำให้เรายิ่งมั่นใจขึ้น เมื่อ เช็ก เซฟจุดโทษของ ร็อบเบน ได้สำเร็จ”
“ตอนยิงจุดโทษ เรามีการซ้อมกันมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ไม่มีอะไรพิเศษ เพราะเราทุกคนก็ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้ว เกมจะมาถึงการตัดสินด้วยจุดโทษ เรารู้ว่าเรามี นักเตะ ที่รับหน้าที่จุดโทษได้ แต่สำหรับผม ผมไม่พร้อมจะเดินออกไปทำหน้าที่นั้น”
“หลังชัยชนะ เรามีงานฉลองใหญ่ตลอดการเดินทางกลับอังกฤษ ทุกคนฉลองกันลืมตาย และไปฉลองกันต่อกับแฟนบอลในลอนดอน บรรยากาศฉลองที่ ชีวิตคุณอาจจะไม่เคยสัมผัสมาบ่อยครั้งหรอก เราผิดหวังมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง กับ แชมเปี้ยนส์ ลีก และครั้งนี้มันก็เป็นวันของเราเสียที”
โปรดติดตามตอนต่อไป