ตลอดชีวิตการเป็น นักเตะ อาชีพ จอห์น โอบี มิเคล เคยผ่านประสบการณ์ที่ขมขื่นกับความผิดหวังมาแล้วมากมาย หนึ่งในนั้นสำหรับเขา ความพ่ายแพ้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2008 คือหนึ่งในความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ไม่น้อยไปกว่าความพ่ายแพ้แบบค้านความรู้สึกในเกมรอบรองชนะเลิศ รายการเดียวกันต่อ บาร์เซโลน่า กับการเสียประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายของเกม ที่ตลอดเกม เชลซี โดนปฏิเสธโอกาสในการได้จุดโทษมากถึง 4 ครั้ง จากผู้ตัดสิน ทอม เฮนนิ่ง โอเวโบ
ในเกมกับ บาร์เซโลน่า มิเคล มี “ภาพจำ” ที่ชัดเจน ในช่วงหลังเกมที่ ดิดิเยร์ ดร๊อกบา เพื่อนร่วมทีมของเขา เดินไปเข้าไปเอาเรื่องกับ โอเวโบ และตามมาด้วยความวุ่นวายมากมายตามมา
“มันเป็นเหมือนสงครามย่อม ๆ ในอุโมงค์ และในห้องแต่งตัว มีการปาขวดน้ำทิ้งด้วยความผิดหวังหลายครั้งในห้องแต่งตัว หลังจบเกม ไม่รวมถึงการทำลายข้าวของ ทุกคนตะโกนออกมาด้วยความผิดหวัง ระบายอารมณ์ออกมาทุกที่ แน่นอน ไม่มีใครพอใจหรอกที่ทีมแพ้ แต่ไม่มีใครยอมรับได้มากกว่าการที่เราตกรอบในแบบที่เราได้รับ เราทุกคนในทีมทุกคนยอมรับมันไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่ ดร็อกบา คนเดียวหรอก”
อีกเรื่องที่ มิเคล เจอบ่อยครั้งตลอด 11 ปี กับ เชลซี นั่นคือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีม เขาทำงานกับ ยอดโค้ชมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, คาร์โล อันเชลอตติ, อันเดร วิลลาส-โบอาช, โรเบร์โต้ ดิ มัตเตโอ, ราฟาเอล เบนิเตซ, อันโตนิโอ คอนเต้ รวมถึง กุส ฮิดดิ้งค์ ผู้ซึ่งเข้ามารับงานชั่วคราวนฐานะของ ผู้จัดการทีมชั่วคราว ของทีมมาแล้วถึงสองช่วงเวลาด้วยกัน
“กุส เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมนับถือมาก เขาเป็นเหมือนกับพ่อของผมอีกคนหนึ่งในวงการฟุตบอล และไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนั้นนะ หลายคนในทีมก็ยกย่องให้เขาเป็นเหมือน พ่อของพวกเขา เขาเป็นที่รักของทุกคนทั้งใน และนอกสนาม เขาได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงจากทุกคนในสโมสร เชลซี รวมถึงแฟนบอลก็ด้วย”
“อันเชลอตติ เป็นอีกคนที่ผมชอบในการทำงานร่วมกับเขา เขาทำให้เราได้ ดับเบิ้ลแชมป์ ในฤดูกาลแรกที่เขามาคุมทีม ตอนที่เขาโดนปลดออกจากตำแหน่ง เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากสำหรับผม เพราะแม้เราจะชวดแชมป์ลีกในปีก่อนหน้านั้น แต่เราก็ผลงานยอดเยี่ยม เล่นฟุตบอลในเกมรุก ผมคิดว่าเราเล่นกันดีมาก สำหรับผมแล้ว ทุกครั้งที่มีการไล่ออก มันก็น่าผิดหวังอยู่แล้ว แต่กับ อันเชลอตติ ผมเสียดายเขาที่สุด เขาควรได้รับโอกาสมากกว่านี้ เพราะ ฟุตบอล ของเขา มันสนุกมาก”
การเปลี่ยนแปลงโค้ชที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งของ เชลซี กลายเป็นเรื่องที่เริ่มต้นจากความไม่เข้าใจ และเสียงวิจารณ์ตามมา ก่อนที่ต่อมามันจะกลายเป็นเรื่องปกติ สำหรับพวกเขา พวกเขาใช้งานผู้จัดการทีม เป็นว่าเล่นมากที่สุดทีมหนึ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องที่พวกเขาขึ้นชื่อมากที่สุดอีกเรื่อง นั่นคือการ “เลื่อยขาเก้าอี้โค้ช” หรือที่เรียกกันว่า “เล่นไล่โค้ช” ที่ว่ากันว่า มี นักเตะ รุ่นใหญ่ในทีมหลายคนทำแบบนั้น โดยเฉพาะในยุคของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ และ อันเดร วิลลาส-โบอาช เป็นสองโค้ชชื่อดัง ที่ย้ายเข้ามาคุมทีม และจบลงด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งฤดูกาล
“ผมคิดว่าทุกทีม ต้องมี กระดูกสันหลังของทีม มันต้องมี “พี่ใหญ่” ในทีมจะเรียกว่า มาเฟีย ก็ได้ถ้าคุณจะเรียกให้มันดู เชิงลบ หน่อย ทุกทีมจะมี นักเตะ ที่เมื่อมีอะไรที่มันไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งสำหรับ สโมสร นั่นคือสิ่งที่ มาเฟีย ทำกัน หรือจะบอกว่าเป็น พลังของ นักเตะ ก็ตามแต่ มันมีทุกทีม และเชื่อผมเถอะ ที่ เชลซี ก็หลีกหนีไม่พ้นเรื่องนี้หรอก เรามี นักเตะ ที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน ถ้ามันไม่มีอะไรที่ดีสำหรับทีม หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่มันไม่เหมาะไม่ควร พวกเขาจะอยู่ตรงนั้นเพื่อทำให้ทุกอย่างกลับมาสู่ทางที่ควรจะเป็น เช่น ผู้จัดการทีม คุมทีมได้ไม่ดี ทำผลงานแย่ นักเตะ ก็มีสิทธิ๋จะแสดงออกในเรื่องของความคิดเห็น และทำอะไรก็ตามแต่เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้จัดการทีม จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ถ้ามันทำออกมาแล้ว ผลงานกลับมาดี ทุกอย่างจบ มีความสุขกันทุกคน ทั้งหมดเพื่อให้สโมสรเดินหน้าต่อไปอย่างดี เราไม่เคยที่จะต้องการเห็นเชลซีตกต่ำนาน ถ้าคุณอยู่กับสโมสรแห่งนี้ มายาวนานแบบที่ผมเป็น คุณจะหลงรักเชลซี ทีมที่รักในชัยชนะ และความสำเร็จตลอดเวลา”
เชลซี เป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้ชื่อว่าใช้ นักเตะ เปลืองมากที่สุดสโมสรหนึ่ง พวกเขาเคยเป็นทีม นานาชาติ ที่มี นักเตะ มากกว่า 10 ชาติอยู่ในสโมสรเดียวกันก็เคยมาแล้ว ไม่รวมถึงการมี นักเตะ ระดับโลก เข้ามาสู่ทีม หนึ่งในนั้นคือ เอแดน อาซาร์ สตาร์เบลเยี่ยม ที่มาพร้อมกับค่าตัว 32 ล้านปอนด์ ในปี 2012
“สำหรับผมแล้ว อาซาร์ คือหนึ่งในคนที่ครบเครื่องมากที่สุด เขาเหมือนของขวัญที่อยู่ในทีม มีทุกอย่างทั้ง ความเร็ว, พละกำลัง, ความสามารถ และเทคนิค เขาเป็นรองแค่ เมสซี่ และ โรนัลโด้ เท่านั้น เราเคยคุยกันในเรื่องนี้ เขามักบอกว่า ถ้าจะเก่งให้ได้แบบ เมสซี่ อาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ เมสซี่ เหมือนมาจากดาวเคราะห์คนละดวง แต่สำหรับ โรนัลโด้ คืออะไรที่สามารถเป็นไปได้ หรืออาจพยายามเพื่อก้าวข้ามไป นั่นคือสิ่งที่ผมเคยได้ยินจากเขา”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็มีจุดอ่อนนั่นคือ เขาไม่ใช่ นักเตะ ที่ชอบการซ้อมมากนัก บางวันเขาเป็นคนที่ซ้อมแย่ที่สุดด้วยซ้ำ ในสนามแข่งเขาเหมือนคนละคน เขาลงเล่นเพื่อช่วยให้ทีมชนะ และจบเกมด้วยการคว้ารางวัล นักเตะ ยอดเยี่ยมของเกม แต่ในวันซ้อม บางวันคุณอาจเห็นเขาเดินตลอดการซ้อม ในขณะที่คนอื่นซ้อมกันอย่างบ้าคลั่ง นั่นคือเขาเลยล่ะ แต่อย่างที่บอก สุดท้ายแล้ว เขาคือสุดยอดนักเตะ เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่างที่สุด ที่ผมเคยร่วมงานด้วย”
“ดร๊อกบา? ผมยกย่องเขาอย่างมาก เป็น นักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพลัง แข็งแกร่ง และเป็น นักเตะ ที่ชอบเล่นเกมใหญ่ มั่นใจเต็ม 100 % แต่นอกสนาม เขาเป็นคนที่ชอบพูดคุยกับผู้คน เขารู้จักแทบทุกคนในสโมสร ตั้งแต่ทีมงาน ไปจนถึงแม่ครัว เป็นกันเองกับทุกคน และเป็นหนึ่งในความคิดถึงเมื่อไม่มีเขาในห้องแต่งตัว ในวันที่เขาตัดสินใจย้ายออกจากทีม เขาจากไปอย่างตำนาน จากไปอย่างเพื่อนที่เราทุกคนคิดถึงเขา”
โปรดติดตามตอนต่อไป