“สมัยเด็ก มิทเชล เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะขี้อายเลยล่ะ เขาเป็นคนที่ทำนองว่า “อยากเล่นด้วย แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่พอเวลาผ่านไปนานเขา เขาโตขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วง 4 – 5 ปี ที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของสภาพร่างกาย และ ทัศนคติ ในการเล่นฟุตบอล เขาแกร่งขึ้นมาก นั่นเป็นเพราะเขาอยากลงเล่นฟุตบอล มีความสุขที่ได้เล่น อยากลงสนามไปโชว์ความสามารถของตนเอง ให้ผู้ชมได้เห็น ส่วนที่เหลือคือผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผมคิดว่านั่นไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับความรู้สึกนี้ สมัยเด็กเขาเล่นฟุตบอลก็เพราะเขาชอบมัน เขาเล่นฟุตบอลโดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับว่า พ่อของเขาเป็น นักเตะ ชื่อดัง เขาแค่อยากเล่นฟุตบอลกับพ่อของเขามันก็เท่านั้น”
“นับจากที่เขาเข้าสู่ระบบสโมสรอาชีพ เราก็ไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันมากเท่าไร แต่พอเกิดสถานการณ์ ไวรัส โควิด-19 ระบาด ทุกคนต้องอยู่กับบ้าน ผมก็ได้กลับมาเล่นฟุตบอลกับเขาอีกครั้ง ช่วยเขาลงซ้อมส่วนตัว มันทำให้ผมเชื่อมั่นว่า เขาต้องการประสบความสำเร็จ อะไรสักอย่างในวงการฟุตบอล ผมพอใจกับสิ่งที่เห็นมาก และได้แต่เป็นกำลังใจให้เขาประสบความสำเร็จ”
มิทเชล เบิร์กแคมป์ หลังกลับมาใช้ชีวิตใน เนเธอร์แลนด์ ตามพ่อซึ่งเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ แรกเริ่มเดิมที พ่อของเขา พาเขาไปอยู่ในทีมเยาวชนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม แต่แล้วทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง หลังจากนั้น เขาไปลงเล่นกับสโมสรแรกที่ชื่อว่า สปาเคนเบิร์ก ซึ่งเป็นสโมสรในบ้านเกิดของ เฮนริต้า แม่ของเขา ก่อนจะเข้าสู่ระบบเยาวชนสโมสร อัลเมียร์ ซิตี้ ตอนอายุ 12 ปี โดยในทีมจะมีการกำหนดหมายเลขสำหรับทีมเยาวชนชุดสำรอง โดยเลือกหมายเลข 31 – 50 และ มิทเชล เลือกหมายเลข 40 ด้วยเหตุผลว่าคล้ายกับหมายเลข 10 ซึ่งเป็นหมายเลขโปรดของเขา และเป็นหมายเลขของพ่อเขาด้วย
“เขาอยากได้หมายเลข 10 มาตลอด แต่มันก็เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความคาดหวังแน่นอน เพราะเขาจะถูกมองว่า เขาคือลูกชายของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ และเขาจะโดนประเมินมากกว่าคนอื่น เพราะด้วยเหตุผลนั้น จาก นักเตะ คนอื่น และคนรอบข้าง”
“ในฐานะของ นักเตะ คนหนึ่ง ผมคิดว่า มิทเชล เป็นคนที่มีความสามารถ แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ยังขาดไป และบางสิ่งบางอย่างไม่ได้มาตั้งแต่เกิด ประสบการณ์จะสอนเขา เช่นเดียวกับการฝึกฝน อย่างเช่น เรื่องของความมุ่งมั่น การเข้าปะทะที่แย่ ๆ ซึ่งเขาต้องเจอ มันไม่สามารถบอก หรือสอนกันได้หรอก เรื่องบางเรื่อง ไม่มีใครโทษใครได้หรอกนะ มันขึ้นกับตนเองเท่านั้นด้วย”
“สมัยเขาอยู่ใน เนเธอร์แลนด์ ผมไม่เคยเดินไปหาคนที่สโมสร และบอกให้ส่ง มิทเชล ลงเล่น เพราะเขาคือลูกชาย เดนนิส เบิร์กแคมป์ ผมไม่ใช่แบบนั้น สิ่งที่ผมทำคือการพูดคุยกับ มิทเชล บอกเขาว่าเขาขาดอะไร และ ต้องทำอะไรให้มากขึ้นกว่า นักเตะ คนอื่น ทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น หล่อหลอมตัวเองให้เป็น ผู้เล่นที่ดีกว่าเดิม”
“การสอนลูกของผมคือ การพูดคุย ไม่ใช่การไปตะโกนด่า หรือการเอาเรื่องประสบความสำเร็จมาพูดกัน เราเป็นแค่ครอบครัวเดียวกัน และนั่นมันคือทุกอย่าง มิทเชล เป็นคนในครอบครัว อยากเป็น นักเตะ อาชีพ และเราทุกคนก็สนับสนุนเขา สำหรับผมมันง่ายกว่าเขามาก เพราะผมไม่จำเป็นต้องห้อยคอไปไหนมาไหนด้วยคำว่า “ลูกชายนักบอล” ไม่เหมือนเขาที่ต้องเจอแบบนั้น”
“สมัยผมลงเล่นฟุตบอลมันง่ายกว่า สมัยนี้มันยากกว่ามากในการหาคนเล่นเบอร์ 10 กับการที่บางทีมลงเล่นแบบไม่มีกองหน้า ยุคของผมเรามักจะเล่น กองหน้าคู่ หรือหนึ่งในสอง ลงเล่นเป็นกองกลางตัวรุก ผมมักโดนเรียกเสมอว่าเป็น นักเตะ หมายเลข 9 ครึ่ง ลงเล่นในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างหมายเลข 9 และ หมายเลข 10 แต่นั่นก็เป็นแค่ตัวอย่าง หรือเป็นแค่บนกระดาษเท่านั้น เพราะสุดท้าย ผมคือ นักเตะ กองหน้าที่ลงเล่นร่วมกับ เธียร์รี่ อองรี ในทีมอาร์เซนอล แค่ตำแหน่งของผมกับเขามันต่างออกไป ผมทำหน้าที่มองหน้าประตู แต่ที่มากกว่านั้นคือมองหาพื้นที่ในการผ่านบอลเพิ่มเติมเข้าไปด้วย และนั่นมันต่างจากสิ่งที่ มิทเชล กำลังเล่นอยู่ เขาเป็นกองกลางแบบเชื่อมเกมแบบ box-to-box มากกว่า วิ่งมากกว่า ตอนที่เขามาทดสอบความสามารถในอังกฤษ ทั้งกับ อาร์เซนอล หรือว่า วัตฟอร์ด ทีมงานขอให้เขากล้ามากกว่านี้ ในการผ่านบอล ซึ่งมันต่างจากการเล่นใน เนเธอร์แลนด์ ที่เขาถูกสอนมาให้ลงเล่นด้วยเป้าหมายแรกคือ การไม่เสียบอล ผมเคยดูเขาลงซ้อม เคยเอาคลิปการเล่นของเขามานั่งดูอย่างจริงจัง ผมคิดว่าเขาดูอยากเล่นแบบผมเหมือนกันนะ”
“วัตฟอร์ด มี นักเตะ ที่เป็นลูกชายของอดีต นักเตะ ลงเล่นอยู่หลายคคน เฮนรี่ ไวส์ ลูกชายของ เดนนิส ไวส์ หรือว่า เมาริซิโอ โปเชตติโน่ ลูกชายของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ (ชื่อเดียวกัน แต่สะกดคนละแบบ) อยู่ที่นั่น ผมคิดว่ามันดี สำหรับมิทเชล กับการที่จะได้อยู่กับคนที่อยู่ในสถานการณ์คล้ายกับเขา และเขาจะสามารถเรียนรู้ ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สามารถพูดคุยกัน และเติบโตขึ้นได้ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่า พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในทีมได้ เพราะ “นามสกุล” ของพวกเขา ผู้คนจะได้เห็นมันเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คุณไม่มีวันเป็น นักเตะ อาชีพได้ แค่เพราะคุณมีพ่อเป็น นักเตะ อาชีพชื่อดังหรอก ทุกคนต้องพยายามต้องต่อสู้ เพื่อจะให้ได้มันมา เพื่อไปให้ถึง ตรงเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ”
“ช่วงเวลาของเขากับ วัตฟอร์ต เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผมคิดว่าเขากำลังจะไปได้ดี ในอนาคต ผมหวังว่าผมจะได้มีโอกาสเข้าไปดูการซ้อม หรือว่าได้เข้าไปดูเกมเมื่อได้รับอนุญาตเข้าชม ผมอยากไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูเขาลงเล่น และคุยเรื่องเกมการแข่งขันด้วยกัน อีกอย่างผมอิจฉาเขามากเลยล่ะ ที่ได้กลับไปยังบรรยากาศเดิม ๆ ที่คุ้นเคย กับการไปที่สนามซ้อมของ วัตฟอร์ด ซึ่งมันใกล้กับสนามซ้อมของ อาร์เซนอล มาก แต่ที่ยิ่งกว่านั้น มันคงพิเศษสุดเลย ถ้าคุณได้อยู่ที่นั่น เมื่อเขาต้องการ ได้เห็นลูกของตนเอง กลายเป็น นักเตะ อาชีพ แบบที่ตนเองเคยเป็น”
“นั่นล่ะความสุขของผมแล้ว”
—-จบ—-