คอนเทนต์วันนี้ขอเขียนอะไรตามใจตัวเองสักหน่อย ว่าตามตรงเลยว่า ฟุตบอลโลก ที่กำลังแข่งขันอยู่ไม่ช่วยสร้างความเร้าใจให้กับผู้เขียนมากเท่าไรนัก แต่ก็แอบมีหลายชาติที่เห็นผลงานแล้วก็ส่งกำลังใจไปให้ว่าอยากเห็นพวกเขาเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ให้ได้ เพราะบางประเทศมาฟุตบอลโลกก็หลายครั้งแล้ว พวกเขายังข้ามกำแพงรอบแบ่งกลุ่มไม่ได้ก็มี บางชาติรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็อยากไปให้ถึงเหมือนที่เคยทำได้ เหมือนที่ ญี่ปุ่น เคยทำได้มาแล้วในปี 2002 และในปี 2018 แน่นอนวันนี้ขอพูดเรื่องของญี่ปุ่นกันอีกหนึ่งวัน
พูดถึงประเทศญี่ปุ่น วัฒนธรรมของประเทศนี้ส่งผลหลายเรื่องมากกับคนไทยของเรา ยิ่งในยุคที่ผู้เขียนยังเด็ก “การ์ตูนญี่ปุ่น” หรือที่ยุคนี้คนไทยเรียกว่า มังงะ (Manga) เป็นอะไรที่ส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของเรา แน่นอนการ์ตูนเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลก็มีหลายเรื่อง แต่ที่ดังที่สุดชนิดรู้จักกันไปถึงทวีปยุโรป ก็คือ “เจ้าหนูสิงห์นักเตะ” / “กัปตันสึบาสะ” หรืออีกหลายชื่อไทยแล้วแต่จะเรียกกันที่สุดท้ายก็คือเรื่องเดียวกันของ อาจารย์ โยอิจิ ทาคาฮาชิ เรื่องนี้ดังมากกับเรื่องราวที่ว่าด้วยความฝันของเด็กที่ชื่อ โอโซระ สึบาสะ กับการอยากพาญี่ปุ่นได้แชมป์ฟุตบอลโลก โดยเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1981 (พ.ศ. 2524) และกลายเป็นกระแสความนิยมมากมาย ทุกวันนี้ การ์ตูนเรื่องนี้ก็ยังคงมีการเขียนอยู่ เพื่อเป้าหมายเป็นหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กญี่ปุ่นรุ่นใหม่ กับทุกวันนี้ที่ “สึบาสะ” คือตัวแทนแห่งยุคสมัย เป็นส่วนหนึ่งของสังคมญี่ปุ่น เมื่อมีการพูดถึงฟุตบอลไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถูกต่อยอดไปมากมายในชีวิตจริง มีการสร้างชื่อชื่อเดียวกับการ์ตูนเรื่องนี้ (Captain Tsubasa Stadium) ในหลายพื้นที่ในญี่ปุ่น มีการจัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ของเด็กเยาวชนทั่วญี่ปุ่นภายใต้ชื่อรายการที่เป็นการ์ตูนเรื่องนี้
และเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในปี 2013 สโมสรฟุตบอล “นันคัตสึ เอสซี” สโมสรที่ โอโซระ สึบาสะ ลงเล่นเป็นสโมสรแรกในมังงะ ก็กลายเป็นสโมสรฟุตบอลจริง ๆ ในวงการฟุตบอลญี่ปุ่น
แรกเริ่มเดิมทีสโมสรแห่งนี้มีชื่อว่า โทคิวะ คลับ ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 หรือสองปีหลังจากการ์ตูนเรื่องนี้เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรก เป็นสโมสรฟุตบอลสมัครเล่นสำหรับนักเรียนมัธยมสามารถมาสมัครเข้าทีมเล่นฟุตบอลได้ ก่อนที่ต่อมาจะเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพในเวลาต่อมา ซึ่งก็ลงเล่นในระดับอาชีพในลีกล่างมาตลอดนานหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตามสุดท้ายในปี 2012 ก็มีสมาคมฟุตบอลในเมือง คัตสึชิกะ เข้ามาดูแลทีมโดยมีเป้าหมายพาทีมไปเล่นใน เจลีก ให้ได้ในสักวันหนึ่ง และมีการเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น คัตสึชิกะ วิโตอาท แต่แล้วก็ใช้ชื่อทีมนี้เพียงปีเดียว ในปี 2013 อาจารย์ โยอิจิ ทาคาฮาชิ ผู้ซึ่งเกิดที่เมืองคัตสึชิกะ ก็ได้เข้ามาซื้อหุ้นของทีม พร้อมรับหน้าที่เป็นประธานสโมสร และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น นันคัตสึ เอสซี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของเมืองนี้ และเป็นการให้เกียรติ อาจารย์โยอิจิ ในฐานะบุคคลสำคัญของประเทศที่เกิดในเมืองแห่งนี้
ในแง่ของระดับอาชีพ ปัจจุบันสโมสรยังคงต่อสู้อยู่ในทีมระดับภูมิภาค ซึ่งถ้านับกันตามระดับแล้วคือในดิวิชั่น 5 ของประเทศ ที่เรียกกันว่า Japanese Regional Leagues ที่มีการแข่งขันกันใน 6 ภูมิภาค โดยเล่นอยู่ในลีกของภูมิภาคคันโต ซึ่งต้องบอกว่าจากจุดเริ่มต้นมาถึงวันนี้ พวกเขาพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ในช่วง 10 ปีหลังสุดพวกเขาเลื่อนชั้นมาแล้วถึง 4 ครั้ง และครั้งนี้พวกเขาต้องการอีกหนึ่งขั้นก็จะขึ้นสู่ ดิวิชั่น 4 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย ก่อนจะเข้าสู่ เจลีก 3 ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของพวกเขา บนเป้าหมายใหญ่ที่สุดคือ เจลีก 1 หรือลีกสูงสุดของประเทศให้ได้
แต่ในแง่ของความเป็น “นันคัคสึ” สโมสรแห่งนี้ให้ความสำคัญกับทีมเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง พวกเขามีการเปิดโรงเรียนสอนฟุตบอลสำหรับเด็กในหลายรุ่น และมีการร่วมกันกับหลายสโมสรท้องถิ่น เพื่อพัฒนานักเตะเยาวชนเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นมืออาชีพในอนาคต ภายใต้ชื่อ นันคัตสึ เอสซี ซอคเกอร์ สคูล ซึ่งนำคอนเซปต์ “ฟุตบอลคือเพื่อน” ที่เป็นประโยคที่ โอโซระ สึบาสะ พูดเป็นประจำมาเป็นคอนเซปต์หลัก ร่วมกับการเล่นฟุตบอลเพื่อความสนุก, ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด, คิดถึงเพื่อนร่วมทีม เพราะฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม
ที่นี่จะสอนฟุตบอลบนพื้นฐานความสนุก เรียนรู้วิธีการเล่นฟุตบอลที่ถูกต้อง สอนแท็คติกการเล่นที่สามารถใช้ได้จริง ปลอดภัย และสอนโดยบุคลากรมืออาชีพ ยังไม่รวมถึงรูปแบบการจัดการภายในซึ่งทำกันอย่างเป็นระบบชัดเจน โดยปัจจุบันสโมสรได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มทุน วาลูเอนซ์ โฮลดิ้ง เข้ามาถือหุ้นจำนวน 33.5 % ก่อนที่จะมีการซื้อหุ้นเพิ่มเติม และกลายเป็นเจ้าของสโมสรในที่สุด แต่ยังคงให้ อาจารย์ โยอิจิ ทาคาฮาชิ รับหน้าที่ประธานสโมสรต่อไป และนั่นทำให้ทีมมีงบประมาณที่มากขึ้น ในการพัฒนาทีมในหลายด้าน รวมถึงนักกีฬาในทีม ซึ่งปัจจุบันมีนักเตะอย่าง จุนอิจิ อินาโมโตะ อดีตกองกลางอาร์เซนอล และอีกหลายทีมในยุโรป รวมถึง ยาสุยูกิ คอนโนะ กองกลางระดับทีมชาติญี่ปุ่น 93 เกม อยู่ในทีมด้วย เพื่อเข้ามาถ่ายทอดวิชาให้กับรุ่นใหม่ และแน่นอนเพื่อให้ตนเองยังคงสนุกกับการเล่นฟุตบอลในช่วงปลายอาชีพการค้าแข้งของตนเอง
“นันคัคสึ เอสซี” จึงไม่ใช่เพียงสโมสรฟุตบอลที่เน้นเพียงแค่นำ “กัปตันสึบาสะ” ที่หลายคนคุ้นเคยมาเป็นจุดขายไปเพียงเท่านั้น แต่พวกเขานำเรื่องราวเหล่านั้น มาต่อยอดให้มันกลายเป็นแรงบันดาลใจชั้นยอดของคนรุ่นใหม่ เพื่ออนาคตต่อไปของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่กับการคว้าแชมป์โลกให้ได้ในปี 2050 หรือในอีก 28 ปีข้างหน้า และเมื่อถึงวันนั้น “ความฝันของโอโซระ สึบาสะก็จะกลายเป็นความจริง” โดยพวกเขามีส่วนร่วมด้วยในฐานะของเสี้ยวเล็ก ๆ ของวงการฟุตบอลที่ไม่ใช่แค่เพียงบนหน้ากระดาษอีกต่อไป