จบกันไปเรียบร้อยแล้วกับการเปิดตัว มิไฮโล มูดริก (22 ปี สัญญาถึงกลางปี 2031) กับการเซ็นสัญญาที่เรียกว่า “ดีลปาด” ของเชลซีกับการลงทุน 88.5 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวเขามาร่วมงานด้วย
เบห์ดัด เอ็คบาลี่ เจ้าของร่วมของสโมสรเชลซี และ พอล วินสแตนลีย์ หัวหน้าทีมการซื้อขายของสโมสร เดินทางไปยังกรุงอันตัลยา ประเทศตุรเคียในการเจรจากับ ไรนาท อัคเมตอฟ ประธานสโมสรชัคตาร์ โดเนสท์ ก่อนที่จะสามารถปีดดีได้สำเร็จ
ตัวเลขตามรายงานจากหลายสื่อตรงกัน เงินสด 62 ล้านปอนด์ จ่ายทันทีหลังการเซ็นสัญญาของนักเตะ พร้อมกับ add-on อีกจำนวน 26.5 ล้านปอนด์ รวมถึง 88.5 ล้านปอนด์ พร้อมกับมีข้อตกลงที่ว่า เชลซี จะเดินทางมาเล่นเกมกระชับมิตรหนึ่งเกมในกรุงโดเนสท์ หลังจากที่ภาวะสงครามยุติลงแล้ว ซึ่ง ณ เวลานี้ แม้ว่าฟุตบอลยูเครนจะอยู่ในช่วงการพักฤดูกาล แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพวกเขาจะกลับมาลงเล่นในสนาม ดอนบาส อารีน่า บ้านของพวกเขาที่มีความจุระดับ 50,000 ที่นั่งได้เลย หลังจากเกิดปัญหาสงครามระหว่างประเทศ
“ผมไม่เคยปิดบังอะไรเกี่ยวกับความฝันของผมในการคว้าแชมป์ระดับยุโรป ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้เล่นอย่างมูดริกควรจะถูกเชิญให้อยู่กับทีมของเราต่อไป เพื่อการคว้าแชมป์ของประเทศ และเราควรจะได้แชมป์สโมสรยุโรปด้วยผู้เล่นเช่นนี้ มากกว่าปล่อยตัวเขาออกไป แม้ว่านักเตะจะย้ายไปสู่สโมสรระดับชั้นนำก็ตาม”
“น่าเสียดายที่มันเป็นไปได้แล้ว ในฐานของยูเครนที่กำลังต่อสู้กับสงครามที่น่ากลัว และไม่ยุติธรรมที่รัสเซียได้ทำกับเรา แต่เรามั่นใจว่าเราจะเป็นผู้ชนะ และเราจะลงเล่นเกมอุ่นเครื่องกับเชลซีในกรุง โดเนสท์ ที่เราต้องการทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อให้เรามีวันนั้นเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด”
“ผมตัดสินใจในการเปิดโปรเจคต์ “หัวใจแห่งอาซอฟ” เพื่อช่วยในการป้องกันเมืองมาริอูโปล และครอบครัวของเหล่าทหารที่ออกไปสู้รบ (มาริอูโปล เป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครนติดกับทะเลอาซอฟ ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางสำคัญในการส่งออกของยูเครน และโดนโจมตีหนักที่สุดจากรัสเซียที่ต้องการยึดเมืองนี้ให้ได้) เป็นการกระทำที่กล้าหาญของเหล่าทหารยูเครนในยุคสมัยใหม่ กับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา” – ไรนาท อัคเมตอฟ ประธานสโมสรชัคตาร์ โดเนสท์ และส่วนหนึ่งในแถลงการณ์การปล่อยตัว มิไฮโล มูดริก ออกจากทีม-
ชัคตาร์ โดเนสท์ มีการบริจาคเงินจำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าสู่โปรเจคต์ดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกี่ยวกับด้านของการแพทย์ทั้งหมด รวมถึงเรื่องของสภาพจิตใจของผู้ได้รับบาดเจ็บจากภัยสงครามที่ยืดเยื้อมานานถึงหนึ่งปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถจบลงได้
การเจรจาซื้อขายชองเชลซีในดีลนี้ เริ่มต้นจากการที่ เกรแฮม พอตเตอร์ ผู้จัดการทีมเชลซี ได้มีโอกาสสนทนาทางโทรศัพท์กับนักเตะ อธิบายถึงแผนงานของทีม แนวคิดในการใช้งานเขาในทีม รวมถึงการทำงานร่วมกันในระยะยาว ซึ่งส่วนนี้เป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ทำให้นักเตะเลือกย้ายมาร่วมงานด้วย นอกเหนือจากรายละเอียดอื่นๆ ในการประกอบการตัดสินใจย้ายทีมครั้งใหญ่
“ผมมีความสุขกับการเซ็นสัญญากับเชลซี นี่คือสโมสรใหญ่ในลีกที่ยอดเยี่ยมซึ่งผมจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคต์ที่น่าตื่นเต้นสำหรับในเส้นทางอาชีพของตนเอง และรอคอยการทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมทีม รวมถึง เกรแฮม พอตเตอร์ และทีมงานของเขา”
แน่นอนว่ามูดริก แสดงความชัดเจนว่าเขาปรารถนาที่สุดในการที่จะย้ายมาร่วมงานกับอาร์เซนอล แต่ในเมื่อ อาร์เซนอล ประเมินแล้วว่าพวกเขาไม่พร้อมที่จะลงทุนมากกว่าข้อเสนอสุดท้ายที่ยื่นให้กับ ชัคตาร์ ไปแล้วด้วยจำนวนรวม 95 ล้านยูโร ซึ่งเป็นเงินที่น้อยกว่าที่เชลซียื่นข้อเสนอให้ ทุกอย่างก็เป็นอันปิดฉากการย้ายทีมร่วมกัน อย่างน้อยก็ในตลาดการซื้อขายรอบนี้ ที่ในส่วนของเงินต้นจ่ายเท่ากัน แต่ในรายละเอียดของ add-on อาร์เซนอลจ่ายให้น้อยกว่าเชลซี
ค่าเหนื่อยของมูดริกตามรายงานจาก Evening Standard ระบุว่ารับอยู่ที่ 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าตอนแรกที่มีการคาดว่าเขาจะรับถึงระดับ 200,000 ปอนด์ขึ้นไป เลยกลายมีคนเอาไปแซวว่าที่ใส่เสื้อหมายเลข 15 เพราะตรงกับค่าเหนื่อย เช่นเดียวกับในส่วนของระยะสัญญาที่ยาวขึ้นจากเดิมคาดว่า 7 ปี กลายเป็น 8 ปีครึ่ง ซึ่งการเซ็นสัญญาระยะยาวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเชลซี
การเซ็นสัญญานักเตะระยะยาว เนื่องจากจะกฎการเงินเอื้อในการทำแบบนั้น พวกเขาสามารถที่จะซื้อนักเตะราคาแพง แต่สามารถลงบัญชีรายจ่ายในดีลการซื้อขายไปในแบบรายปีได้ เช่น 70 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 7 ปี ก็สามารถลงบัญชีเป็นปีละ 10 ล้านปอนด์ต่อปี จนครบ 7 ปีก็ได้ ว่าง่าย ๆ เลยเป็นเหมือนการผ่อนจ่ายให้กับการส่งยอดบัญชีในสโมสร
และเป็นการบริหารเรื่องของกฎการเงิน ซึ่งตรงนี้จะส่งผลระยะยาวแน่นอนกับพวกเขา หากนักเตะผลงานไม่ดีอย่างที่หวัง มูลค่าก็ลดลงแต่รายจ่ายยังคงเดินหน้าต่อไป และแน่นอนว่าเมื่อนานไปพวกเขาจะเจอกับรายจ่ายยิบย่อยจำนวนมากเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องของอนาคต และหากมีสโมสรทำแบบนี้มากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาขึ้นมาใหม่
อนาคตเราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกก็ว่ากันไป แต่ ณ เวลานี้ เชลซีเดินเรื่องในลักษณะนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วดีลนี้จบลงที่ทุกฝ่ายเลือกในสิ่งที่คิดว่าดีแล้วสำหรับตน
ถึงเวลาต้องไปเดินหน้าไปเรื่องอื่นกันต่อแล้ว