การรักษาและฟื้นฟูร่างกายเริ่มต้นทันทีอย่างแรกเลยคือปรับสภาพจิตใจให้ยอมรับและพร้อมกับการทำงานในอีกรูปแบบหนึ่งของตนเอง
“มิเคล อาร์เตต้า คุยกับผมตลอด เขาโทรหาผมแทบจะทุกวัน เพื่อมาสอบถามอาการบาดเจ็บ แม้กระทั่งช่วงที่ผมกลับไปพักฟื้นในบราซิลในช่วงเดือนสิงหาคม 2020 ก็ตาม เขาเป็นคนที่ดีมาก และเป็นผู้จัดการทีมที่ดีด้วยเช่นกัน จนกระทั่งช่วงที่สโมสรต้องการผมลงเล่น เขาก็มาคุยกับผมว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน พร้อมไหมกับการลงเล่น ผมก็บอกว่าผมพร้อม ผมอาจจะรู้สึกมีอาการเจ็บบ้าง แต่เมื่อพูดคุยกับทีมแพทย์แล้ว ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ผมลงเล่นไม่ได้เต็ม 90 นาที และต้องการเวลาในการฟื้นฟู รวมถึงการกลับมามีสมาธิกับฟุตบอลแบบเต็มตัวอีกครั้ง”
เกือบ 6 เดือน ที่ต่อสู้กับหัวเข่าที่บาดเจ็บ มาร์ติเนลลี่ ค่อย ๆ กลับมาทีละนิด และสุดท้ายเขาก็กลับมาได้ในเดือนธันวาคม 2020 หรือในช่วงกลางฤดูกาล 2020-2021 อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่ว่า การกลับมาของเขาจะเป็นการกลับมาสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม อาการบาดเจ็บที่ยาวนาน ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของเขา ความเชื่อมั่น และแน่นอนการประคับประคอง และการเลือกที่จะไม่เสี่ยงใช้งานเขามากเกินไปของ อาร์เตต้า และ ทีมงาน ก็ทำให้เขาสภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ จนสุดท้ายแม้ว่า มาร์ติเนลลี่ จะไม่ได้ลงเล่นมากนัก แต่ก็ยังฟอร์มน่าสนใจที่จะทำให้เขาได้รับการเรียกตัวเขาสู่ทีมชาติบราซิล ชุด โอลิมปิก เกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และมันจบด้วยคว้าเหรียญทองกลับบ้านของพลพรรคเซเลเซา โดยเขามีส่วนกับทีมพอสมควรในรายการดังกล่าว โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่มาแล้วในปี 2019 แต่เป็นเพียงการเรียกติดทีมเพื่อเข้าร่วมซ้อมเท่านั้น
“การติดทีมชาติเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ และเป็นเกียรติ ผมแจ้งกับอาร์เซนอลว่าผมได้รับการติดทีมชาติ เอดู ดีใจกับผมด้วย และบอกว่าถ้าผมต้องการไปทีมจะปล่อยตัวผมไปที่นั่นทันที อาร์เตต้า ก็เช่นเดียวกัน เขาบอกผมว่าถ้าอยากไปเล่นก็จงไป และจงชนะกลับมา เอาเหรียญทองมาฝากพวกเราด้วย และผมทำได้จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ผมขอบคุณสโมสรที่ให้โอกาสนี้ ผมมีความฝันมาตลอดชีวิตว่าอยากลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิล แม่ของผมมีความสุขมาก เธอชอบ โอลิมปิกเกมส์ ผมชอบนั่งดูฟุตบอล กับวอลเล่ย์บอลกับแม่เป็นประจำ ส่วนพ่อของผมดีใจยิ่งกว่านั้น เพราะ ดานี่ อัลเวส อยู่ในทีมชุดนั้นด้วย ท่านชอบอัลเวสมาก และผมกำลังจะได้อยู่ร่วมทีมเดียวกับเขาผู้ซึ่งคว้าแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการในวงการฟุตบอล ผมได้เรียนรู้อะไรจากเขา”
“ผมมีปัญหาบาดเจ็บนิดหน่อยในช่วงนั้น แต่ อันเดร ยาดีน (ผู้จัดการทีมชาติบราซิลชุดโอลิมปิก) ก็ยังอยากให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของทีม เขาบอกผมว่าเขาทราบถึงความสามารถของผม แน่นอนความสำคัญของ โอลิมปิก เกมส์ และเขามีผมอยู่ในแผนงาน มันทำให้ผมดีใจมาก เพราะอย่างที่บอกนี่มันคือความฝันมาตลอดชีวิต เช่นเดียวกับการได้เหรียญทองกลับบ้าน มันเป็นเกียรติยศที่อยู่ในความทรงจำของผม แต่ใครจะไปรู้อนาคตผมอาจจะได้มันอีกก็ได้”
หลังความล้มเหลวกับการมือเปล่า และจบด้วยอันดับ 8 ที่ไม่สามารถเข้าร่วมเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งในรอบ 26 ปี อาร์เซนอลในฤดูกาล 2021-2022 มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง กับแนวคิดในการทำทีมในแบบ “ยังกันส์” การเสริมทีมด้วยนักเตะอายุน้อย แต่มีประสบการณ์สูง นักเตะอย่าง มาร์ติน เออเดการ์ด, เบนจามิน ไวท์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ, นูโน่ ตาวาเรส และ อารอน แรมสเดล เมื่อรวมกับ เอมิล สมิธ โรว์, บูคาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ พวกเขา กลายเป็นทีมพลังหนุ่มที่มีค่าเฉลี่ยอายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ทันที
“ผมคิดว่าทีมมีความเป็นครอบครัวสูง ไม่ได้เพียงแค่เล่นฟุตบอลด้วยกัน แต่เรามีความสนิทกันมาก เราพยายามหาโอกาสไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันบ้าง อย่างตอนที่เข้าแคมป์ในดูไบ เราก็มีการทำ บาร์บีคิว ทานกันทั้งทีม รวมถึงทีมงานด้วยมันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมาก ในสนามผมทึ่งในความสามารถของ สมิธ โรว์ และ ซาก้า มากพวกเขาเล่นได้อย่างชาญฉลาด เช่นเดียวกับ เบน และ อารอน โดยเฉพาะ อารอน แรมสเดล เขาเป็นคนที่พูดเยอะมาก พูดกับทุกคน และเป็นคนที่เปิดบอลแม่นมากคนหนึ่ง ผมกับเขามักจะซ้อมกันด้วยเรื่องการเปิดบอลยาว และผมวิ่งไปยังพื้นที่ตามที่ตกลงกันไว้ มันช่วยได้แน่ในการเล่นจริง ส่วน มาร์ติน เออเดการ์ด การได้เล่นบอลร่วมกับเขามันง่ายมาก เขาเล่นได้เหมือนการซ้อมในทุกวันที่เราลงเล่นเลย ผมดีใจมากตอนที่เราเซ็นสัญญาถาวรกับเขา เราเข้ากันได้ดี”
อาร์เซนอล กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่เป้าหมายของพวกเขากลับการไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในฤดูกาลหน้า ยังคงเป็นพวกเขาที่กุมชะตาเอาไว้ด้วยมือตนเอง โดยที่ มาร์ติเนลลี่ กลายเป็นหนึ่งในตัวหลักของทีมอีกครั้ง เส้นทางที่เริ่มต้นจากเมื่อ 9 ปีที่แล้วใน โครินเธียนส์ มาถึงลอนดอน และก้าวไปถึงความฝันกับการลงเล่นกับทีมชาติบราซิล เส้นทางของเขาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น “เกียรติยศ และความสำเร็จ” ยังคงมีให้เขาไขว่คว้า และเดินตามหาความฝันของเขาต่อไป
“ผมมีต้นแบบในการเล่นฟตุบอล คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เขาคือผู้เล่นที่ทำงานหนัก ผลักดันตนเองไปสู่จุดสูงสุด มุ่งหน้าไปคว้าแชมป์ และรางวัลส่วนตัว ผมมองเห็นเขา, ลิโอเนล เมสซี่ และ เนย์มาร์ จูเนียร์ เป็นผู้เล่นที่สามารถตัดสินเกมได้ด้วยตัวคนเดียว”
“ผมอยากขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่เข้ามา ขอบคุณผู้จัดการทีม เพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีมบอกให้คนควรจะอดทนต่อการเฝ้ารอคอยโอกาส เพราะมันจะมาถึงผมอย่างแน่นอน ผมต้องการมีเส้นทางการเล่นฟุตบอลที่ อาร์เซนอล และพยายามที่จะเป็นตำนานของสโมสรให้จงได้”
และนี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มจาก เซา เปาโล คนนี้…กาเบรียลมาร์ติเนลลี่
จบเรื่องราว…แต่ชีวิตยังคงมีให้ติดตามกันต่อไป ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาตลอดครับ