การหลุดจากทีมของ โรเมลู ลูกากู (28 ปี สัญญาถึงกลางปี 2026) ในเกมกับ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรเลย หลังการสัมภาษณ์ของเขา แสดงถึงความไม่ให้เกียรติต่อสโมสรที่ตนเองลงเล่น และแฟนบอลของทีม ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจในสถานการณ์ตนเอง ด้วยการเล่นที่มีการเปลี่ยนระบบ แต่ตนเอง “มืออาชีพ” พอจะยอมรับและเล่นต่อไป รวมถึงการพูดเกี่ยวกับอินเตอร์ มิลาน ทีมเก่าของตนเองที่ชื่นชมออกหน้าออกตา รวมถึงประโยคที่บอกว่าจะกลับไปเล่นกับ อินเตอร์ อีกครั้งในช่วงที่ตัวเองยังคงอยู่ในฟอร์มสุดยอด ไม่ได้กลับไปตอนแก่ ๆ แล้วเลิกเล่น และการพูดถึง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ อดีตเพื่อนร่วมทีมว่าไม่ต้องย้ายมาที่ เชลซีหรอก อยู่ที่นั่นต่อไป เพราะเขาต่างหากจะกลับไปเล่นด้วยกันที่นั่น
อ่านแค่นี้แล้วในฐานะแฟนบอลที่มีสโมสรที่เชียร์ในใจ ใครได้นักเตะแบบนี้ไปคือ “ความซวย” เพราะทัศนคติแบบนี้ไม่ได้นำพาประโยชน์ใดให้เกิดขึ้นกับตนเองเลยสักนิดเดียว ต่อให้ไม่พอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรืออยากกลับไปหาทีมเก่ามากแค่ไหน ทุกอย่างควรอยู่ในใจ ไม่ก็ให้เอเยนต์ของตนเอง พูดลอยลมไปแทน (ซึ่งก็พูดก่อนหน้านี้แล้วว่า ลูกากู มีความคิดกลับอิตาลี) แต่เมื่อเลือกที่จะพูดออกมาดัง ๆ ให้ทั้งโลกได้รู้ ก่อนพูดเราคือนายของคำพูด หลังพูดคำพูดคือนายของเรา และ ลูกากู เตรียมรับผลของการพูดของตนเองได้เลย
โธมัส ทูเคิ่ล แสดงความรู้สึกหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจนกับลูกทีมของตัวเอง ซึ่งนายใหญ่เยอรมัน ก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาพอสมควร และก็พร้อมจะตำหนิลูกทีมออกมาแบบชัดเจน ซึ่งครั้งนี้ เขาก็ไม่พอใจมาก แต่ก็เลือกที่จะไปคุยกันหลังฉากเป็นการส่วนตัวเพื่อเคลียร์ใจ แต่ก่อนเกมกับ ลิเวอร์พูล ลูกากู ต้องออกไป เพราะบรรยากาศในทีมมันจะเสียไปเปล่า ๆ หากคนหนึ่งคนมาพูดสนใจกลับทีมเก่า ก่อนวันแข่งเพียงหนึ่งวันจะได้ลงเล่นต่อไป
สำหรับ ลูกากู ต้องบอกว่าในวันที่เขาเป็นนักเตะ อินเตอร์ มิลาน เขาเลือกเองที่จะตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในพรีเมียร์ ลีก แม้ว่าสถานการณ์ของ อินเตอร์ มิลาน ณ ตลาดการซื้อขายเดือนสิงหาคม พวกเขาจะมีปัญหาเมื่อเจ้าของทีม มีปัญหาเรื่องการเงินขั้นรุนแรง กลุ่ม ซูหนิง กรุ๊ป ต้องตัดสินใจในหลายเรื่องเพื่อเอาตัวให้รอด สามสิ่งหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นคือ
สามสิ่งนี้ “เจ็บปวด” สำหรับอินเตอร์ มิลาน และเจ้าของทีม แต่พวกเขาก็กู้สถานการณ์กลับมาได้ (ยังไม่รวมถึงการเสีย อันโตนิโอ คอนเต้ ออกจากทีมไปอีกต่างหาก หลังการเงินมีปัญหา และไม่สามารถหางบประมาณเสริมทัพได้ตามต้องการ และทีมต้องเสีย ฮาคิมี่ ออกไป ซึ่งคอนเต้ไม่ต้องการแบบนั้น) แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านมาได้ จนกระทั่งทีมได้ ซิโมเน่ อินซากี้ มารับงาน พร้อมกับการเตรียมทีมที่พวกเขาไม่เดือดร้อนในการต้องขายผู้เล่นอีกต่อไป แต่ในทางกลับกัน โรเมลู ลูกากู เมื่อเชลซีแสดงความสนใจพร้อมข้อเสนอ 115 ล้านยูโร และ ลูกากู ก็ “ตกลง” จะย้ายด้วยตนเอง แน่นอน อินเตอร์ ก็ยอมรับในข้อเสนอที่ถือว่าสูงมากในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก บวกนักเตะไม่มีใจ รั้งไปก็เท่านั้น ขายสิครับรออะไร
ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่เขาเลือกแบบนี้ แต่เขาก็ย้ายออกมาแล้ว พร้อมสัญญาระยะยาวที่หากอยู่ครบเขาจะมีอายุ 33 ปี แต่มาทรงนี้แล้ว โอกาสอยู่ไม่ครบสัญญาสูงมาก เพราะเพียงแค่ 4 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ลูกากู ก็ทิ้งบอมบ์ทีมตัวเองด้วยสัมภาษณ์ “ไร้ความเป็นมืออาชีพ” ของตนเอง สวนทางกับสิ่งที่พูดในสัมภาษณ์ว่าตนเอง “มืออาชีพ”
มันผิดไหมที่เป็นแบบนั้น…ไม่ผิดหรอกที่คุณจะหาความสุขใส่ตัว แต่สิ่งที่มันผิดคือการสัมภาษณ์ครั้งนี้ของ ลูกากู แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเซ็นลงไป ไม่เคารพต่อเพื่อนร่วมงาน และเจ้านายที่จ่ายเงินให้ และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับไป
มองสถานการณ์นี้ โอกาส “พัง” สูงมากสำหรับเขา และเชลซี แต่ เชลซี ไม่ใช่สโมสรเล็ก ๆ พวกเขาไม่ใช่สโมสรที่จะยอมให้ใครก็ตามมาอยู่เหนือพวกเขา หลายครั้งที่ โรมัน อบราโมวิช “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” ชื่อของ อาเดรียน มูตู หรืออย่าง ดิเอโก้ คอสต้า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน หากคุณมีปัญหา ไม่มืออาชีพ อยู่กันดี ๆ ไม่ได้ ก็อย่าคิดว่าจะสบายตัวได้ตามต้องการ และเคสของ ลูกากู แม้จะค่าตัวแพงแค่ไหน สำคัญแค่ไหน แต่ “สโมสรใหญ่กว่าทุกคนในสโมสร” เสมอ แม้อาจจะได้ย้ายออก แต่เชื่อได้เลยว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ ลูกากู หวังแน่นอน
ณ เวลานี้ ฉากจบของเรื่องนี้ ยังคงมีความเป็นไปได้หลายแบบมาก และต้องรอดูว่าเขาจะเจออะไรบ้าง นอกจากการโดนดรอปในเกมกับ ลิเวอร์พูล แต่ที่แน่นอนคือ แฟนเชลซีผิดหวังในตัวของเขาอย่างยิ่ง และพร้อมที่จะ “ไม่เอา” เขาอีกต่อไป ขณะที่ แฟนอินเตอร์ มิลาน ก็ไม่ได้ว่าดีใจที่เขาจะกลับไปหาพวกเขา เพราะตอนจากันเขาก็เลือกที่จะไปเองไม่มีใครบังคับ แถมการที่เขาจากไป พวกเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนทั้งผลงานส่วนตัวของ เอดิน เชโก้ ซึ่ง อินเตอร์ มิลานไปดึงตัวมาแทน ลูกากู ก็ดี ทั้งผลงานที่เป็นจ่าฝูงในลีกก็ใช่ ไม่มี ลูกากู พวกเขาก็ยังมีชีวิตต่อไปได้ในเส้นทางลุ้นความสำเร็จเต็มตัว ดังนั้น ลูกากู งานนี้อาจจะอยู่ในสถานการณ์ “กลับตัวก็ไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึง” ก็เป็นได้ และไม่ต้องโทษใคร เพราะงานนี้เขาเลือกเองตั้งแต่แรกจนกระทั่ง Facebook อย่างเป็นทางการของตัวเองยังมีการระบุชื่อ อินเตอร์ มิลาน ทั้งที่ภาพตนเองใส่เสื้อของเชลซีอยู่ทนโท่ แบบนี้หรือที่เรียกว่า มืออาชีพ…มันช่างห่างไกลกับคำนั้นเหลือเกิน