หากจะพูดถึงการชิงแชมป์ของ ฟุตบอล สโมสรยุโรป แล้ว ชื่อของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือยอดมงกุฎ ปลายทางของ นักเตะ ทุกคนที่ค้าแข้งในยุโรป ฝันไว้ว่า สักครั้งหนึ่ง ขอให้ได้ มีส่วนร่วมสักครั้ง หลายสโมสร แต่แน่นอน เมื่อผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อทีมเก่ง มีมากเกินกว่าจะลงเล่นในรายการแข่งขันเดียวกันได้
ยูฟ่า จึงมีการผุดไอเดียในการ จัดการแข่งขัน สำหรับ “บอลรอง” ให้กับเหล่าสโมสร ที่อาจจะไม่ใช่ แชมป์ ลีกสูงสุดของประเทศ มีพื้นที่ในการแข่งขัน ฟุตบอลยุโรป กับเขาบ้าง ชื่อของ “อินเตอร์- ซิตี้ แฟร์ส คัพ” จึงเกิดขึ้น ในปี 1955
อินเตอร์-ซิตี้ แฟร์ส คัพ เป็นแนวคิดที่เกิดจาก ความคิดของ บุคคลสามคน ประกอบไปด้วย รองประธานของฟีฟ่า และคณะกรรมการของฟีฟ่า นาย เอิร์น ธอมเมน ประธานสมาคมฟุตบอล อิตาลี ที่ชื่อว่า ออตโตริโน่ บาราสซี่ และ สแตนลีย์ รูซ์ เลขาธิการสมาคมฟุตบอล อังกฤษ และต่อมาได้เป็น ประธานฟีฟ่า (1961-1974)
โดยชื่อของ อินเตอร์-ซิตี้ แฟร์ส คัพ มาจากความต้องการในการ โปรโมท ตลาดหุ้น นานาชาติ (Trade fiars) จึงเป็นที่มาดังนี้ และแน่นอน เมื่อเป็นการโปรโมท ตลาดหุ้น ดังนั้น สโมสรฟุตบอล ที่จะลงเล่นในรายการนี้ จะเป็น ประเทศที่มีการเปิดตลาดหุ้นข้ามประเทศกันเท่านั้น โดยจะลงเล่นกันในช่วงที่ฟุตบอลลีก ของแต่ละประเทศแข่งขันจบลงแล้ว
หลังจากจัดการแข่งขันจนถึงปี 1971 ทางยูฟ่า ก็ได้เข้ามามีบทบาทใหญ่ กับการแข่งขัน พร้อมกับ เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูฟ่า คัพ” ซึ่งเป็นการยืนยันว่า นี่คือการแข่งขันที่จัดขึ้นด้วย ยูฟ่า นั่นเอง
ถ้วยรางวัลของการแข่งขัน ยูฟ่า คัพ ได้รับการออกแบบโดย ยูฟ่า ซึ่งให้บริษัท จีดีอี เบอโตนี่ บริษัทที่ออกแบบ ผลิตถ้วยรางวัล และเหรียญรางวัล จากประเทศ อิตาลี ซึ่งบริษัทดังกล่าว ก็เป็นบริษัทที่ผลิตถ้วยแชมป์ “ฟุตบอลโลก” ในปี 1971
โดยทุกสโมสรที่คว้าแชมป์ รายการนี้ จะได้รับถ้วยจริงไปครอบครองเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล หลังจากนั้น จะส่งมอบต่อไปให้กับ ยูฟ่า และจะได้รับถ้วย “จำลอง” ไปเก็บเอาไว้แทน อย่างไรก็ตาม หากสโมสรใด สามารถคว้าแชมป์ได้สามครั้งติดต่อกัน หรือว่าได้แชมป์รายการนี้ 5 ครั้ง ก็จะได้รับถ้วยรางวัล ไว้ที่สโมสร เป็นการถาวร
ทั้งนี้ หากสโมสรใดที่สามารถคว้าแชมป์ได้ 5 ครั้ง จะได้รับอาร์มแชมป์ยูโรป้า ลีก แบบพิเศษ ติดเสื้อเอาไว้เพื่อเป็นเกียรติ ซึ่ง เซบีย่า สโมสรจาก สเปน เป็นสโมสรเดียวที่ได้รับเกียรตินี้ จากการคว้าแชมป์รายการนี้ 5 ครั้ง และ 3 ใน 5 คือการคว้าแชมป์สามสมัยติดต่อกัน
ในฤดูกาล 2009-2010 ยูฟ่า คัพ มีการเปลี่ยนชื่อเป็น ยูโรป้า ลีก และยังคงใช้ชื่อรายการนี้จนถึงปัจจุบัน
ในรูปแบบของ การจัดการแข่งขัน ยูโรป้า ลีก คล้ายคลึงกับใน แชมเปี้ยนส์ ลีก กล่าวคือจะมีรอบเพลย์-ออฟ ก่อนที่เข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม แต่จะมีกลุ่มมากถึง 12 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ทีมสองอันแรกในแต่ละกลุ่มจะเข้าสู่รอบต่อไป รวมทั้งหมด 24 ทีม โดยยังคงยึดหลักในช่วงปลายของ ยูฟ่า คัพ นั่นคือ จะมีพื้นที่ว่างสำหรับอีก 8สโมสร ที่จบด้วยอันดับที่ 3 ของรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังคงอยู่ในเส้นทางของ ฟุตบอลยุโรป ต่อไป กับการลงเล่นใน ยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย (24 + 8) เสมือนเป็น “โอกาสครั้งที่สอง” ของเหล่าทีมอกหัก ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทีมแชมป์ ยูโรป้า ลีก มีไม่น้อยที่มาจากสโมสรที่ตกรอบ จากแชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่ม นั่นเอง
โดยการแข่งขันตั้งแต่รอบ 32 ทีมสุดท้าย จะเป็นการแข่งขันในระบบ เหย้า-เยือน จนถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะลงเล่นเพียงเกมเดียว ในสนามแข่งขันกลาง ซึ่ง ยูฟ่า เป็นผู้กำหนดสนามแข่งขัน เอาไว้แล้วล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน จะเริ่มต้นขึ้น
ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้าง “มูลค่า” และ “แรงจูงใจ” ให้กับการแข่งขันรายการนี้ ในปี 2016 ยูฟ่า จึงได้มีการประกาศให้ แชมป์ ยูโรป้า ลีก จะได้รับสิทธิ์ในการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าในรอบแบ่งกลุ่ม โดยทันที ซึ่งก็ได้ผลตอบรับ ที่ดีเป็นอย่างมาก เพราะ สโมสรแต่ละสโมสร ต่างมุ่งมั่นกับการคว้าแชมป์รายการนี้ เพื่อเป็น “ทางลัด” ไปสู่แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งมาพร้อมกับ ชื่อเสียง เกียรติยศ และรายได้ที่จะเข้าสู่สโมสร อีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ เซบีย่า คือสโมสรเดียวที่ได้แชมป์ถึงสามสมัยติดต่อกัน และเป็นเจ้าของสถิติสูงสุด กับการคว้าแชมป์รายการนี้ 5 สมัย ซึ่งเป็นการเข้าชิงชนะเลิศ 5 ครั้ง และชนะทั้งหมดด้วย โดยมีสโมสร ที่คว้าแชมป์รายการนี้ทั้งหมด 28 สโมสร
หลังจาก ยูฟ่า คัพ มีการควบรวมกับ คัพ วินเนอร์ส คัพ ทีมแชมป์รายการนี้ จะต้องลงเล่นกับทีมแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในการแข่งขัน ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วย เพื่อค้นหาสโมสรที่ผลงานดีที่สุดของ ยุโรป ในฤดูกาลนั้น