เข้าสู่กลางฤดูกาล 2020-2021 ฤดูกาลแห่งการต่อสู้ทั้งใน และนอกสนาม กับการระบาดของไวรัส โควิด-19 ซึ่งใน พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้การแข่งขันขับเคี่ยวกันอย่างหนักหน่วง ทั้งหัวตาราง และท้ายตาราง
หลังผ่านไป 17 เกม (บางทีมลงเล่น 16 และ 15 เกมตามลำดับ) ลิเวอร์พูล – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับหนึ่ง และสองของตารางมีคะแนนห่างจากอันดับ 7 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ไม่รวมถึงอีก 6-7 ทีมที่หากชนะติดต่อกัน 2-3 เกมสถานการณ์ของพวกเขาอาจจะเปลี่ยนไปเป็นลุ้นไปเล่น ฟุตบอลยุโรป ปีหน้าเลยก็เป็นได้
ปัญหาของการระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกสนามทำให้รายได้ลดลง ส่งผลต่อการเตรียมทีม การเสริมทีมทั้งหมด ขณะที่ในสนาม การลงซ้อมก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากมาย เช่นเดียวกับการลงสนามแข่งขัน ที่มีกฏระเบียบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และล่าสุด พรีเมียร์ ลีก มองว่าการฉลองในสนามกอดกัน อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ก็อยากให้เลี่ยงเท่าที่จำเป็น
ปัทโธ่! กว่าจะยิงได้แต่ละประตู พยายามกันแทบตาย จะให้เฮกันเบาๆ ยิ้มกันเบาๆ มันใช่เหรอ! นักเตะ คงอยากบอกแบบนี้
สโมสรที่ลุ้นแชมป์ ลุ้นไปยุโรป ก็ลุ้นกันไป แต่สำหรับสถานการณ์ของทีมหนีตกชั้น หรือที่เรียกกันว่า “เรดโซน” ต้องบอกว่าปีนี้ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งทาง (17 จากทั้งหมด 38 เกม) กลายเป็นว่ามีหนึ่งทีม ที่จ่อเหลือเกินกับการตกชั้น
“เดอะ เบลด” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คือสโมสรที่ ณ.เวลานี้ มีเพียง 2 คะแนน จากการเล่น 17 เกม เสมอ 2 แพ้ 15 ชนะ 0 นับเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของพรีเมียร์ ลีก กับการที่เป็นทีมที่ยังไม่ชนะใครเลยยาวนานถึง 17 เกม นับจากเปิดฤดูกาล แม้กระทั่ง ดาร์บี้ เคาน์ตี้ สโมสรที่ตกชั้นในปี 2007-2008 เจ้าของสถิติทีมที่ตกชั้นด้วยคะแนนที่น้อยที่สุด พวกเขายังเอาชนะเกมแรกของฤดูกาลได้ในเกมที่ 6 ของฤดูกาล โดยเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล 1-0 แม้ว่ามันจะเป็น รสชาติของชัยชนะเพียงเกมเดียวของพวกเขาตลอดฤดูกาลนั้นก็ตาม (ดาร์บี้ จบฤดูกาลนั้น ด้วยสถิติ ชนะ 1 เสมอ 8 และแพ้ 29 เกม) ยิงได้เพียง 20 ประตู และเสียถึง 89 ประตูด้วยกัน โดยฤดูกาลนั้นพวกเขาใช้บริการ ผู้จัดการทีมสองคน ได้แต่ บิลลี่ เดวิส ที่พาทีมขึ้นชั้นมาได้ในฤดูกาลก่อนหน้านั้น และ พอล จีเวลล์ ที่เข้ามารับงานต่อในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2007 และร่วงตกชั้นไปด้วยกัน
เรื่องราวของ 2nd Syndrome ยังคงเป็นแนวคิด และความเชื่อที่มักเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งสำหรับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา มักจะทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ และมันก็เกิดขึ้นกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ปีแรกพวกเขา ฟอร์มยอดเยี่ยมด้วยการจบอันดับที่ 9 พร้อมสไตล์บอลแบบใจสู้ เล่นกันเป็นทีม ชื่อของ นักเตะ หลายคนกลายเป็นที่สนใจจากหลายทีม ทั้ง เอนด้า สตีเว่นส์, จอร์จ บัลด๊อก, โอลิเวอร์ นอร์วูด, ลีห์ มูเซ่ รวมถึงนายทวารอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน ที่ฟอร์มดีมากจน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรียกตัวกลับไปร่วมงานด้วย ภายใต้การคุมทีมของ คริส ไวลเดอร์
ฟอร์มที่ดีของพวกเขา มาแผ่วในช่วงปลายฤดูกาล หลังการกลับมาจากการเบรคช่วง โควิด-19 พวกเขาแพ้ 5 จาก 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาล ทำให้ทีมจากอันดับที่ลุ้นพื้นที่ยุโรป กลายมาเป็นจบด้วยอันดับกลางตาราง
อย่างไรก็ตามในฤดูกาลใหม่ การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อการเตรียมทีมของพวกเขาอย่างชัดเจน ทีมไม่ได้มีการเสริมทีมมากนัก ยกเว้นการดึงตัว อารอน แรมสเดล นายทวารจาก บอร์นมัธ ที่ตกชั้นไปด้วยค่าตัว มหาศาล เพื่อมาแทนที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ที่กลับไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง ไรอัน บรูวสเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งจากลิเวอร์พูล และ โอลิเวอร์ เบิร์ก ดาวรุ่งสกอตแลนด์ ที่ผ่านการเล่นฟุตบอลในเยอรมัน มาแล้ว
การซื้อตัวที่เข้ามาใหม่ ผลงานกลับไม่เป็นตามที่หวัง แรมสเดล พลาดง่ายหลายครั้งในฤดูกาลนี้ ขณะที่ บรูว์สเตอร์ ซึ่งทีมหวังจะให้เข้ามาช่วยยิงประตู แต่สุดท้ายแล้ว ถึงเวลานั้น เขายังยิงไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว โดยทีมเพิ่งยิงได้เพียง 8 ประตูในลีกเท่านั้น โดย เดวิด แมคโกรดิก คือคนที่ทำได้ 4 ประตู มากที่สุดในทีม
นอกจากนี้ทีมยังมีปัญหา นักเตะ ติดเชื้อโควิด-19 อยู่พักหนึ่ง ยิ่งทำให้ทีมที่ผลงานไม่ดีก็ยิ่งทรุดลงไปอีก ในขณะที่ คริส ไวลเดอร์ ยังหาทางพาทีมกลับมาให้ได้ ตราบใดที่เขายังมีโอกาสได้ในการคุมทีม เพื่อกอบกู้ทีมของเขากลับคืนมา
แต่ดูจากสถานการณ์ ณ.ตรงนี้แล้ว งานนี้ยากยิ่งกว่าการลุ้นแชมป์เสียด้วยซ้ำไป