วิลเลี่ยน (บราซิล 32 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) กลายเป็นที่วิจารณ์ในแง่ลบ กับผลงานที่ออกมา โดยเขาเป็นหนึ่งใน นักเตะ ที่ผลงานออกมาแย่ที่สุด ของอาร์เซนอล ในเกมที่พวกเขา บุกแพ้ เซาธ์แธมป์ตัน 1-0 ตกรอบ เอฟเอ คัพ รอบที่สี่ ซึ่งพวกเขาเป็นแชมป์เก่า ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สัปดาห์ที่แล้ว วิลเลี่ยน เพิ่งได้โพสฉลองการเป็น นักเตะ บราซิล ที่ลงเล่นมากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ด้วยจำนวน 248 เกม แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในสถิติที่น่าภาคภูมิใจสำหรับ นักเตะ คนหนึ่งที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ และสร้างชื่อเสียงให้ตนเองมาจนถึงจุดที่เขาอยู่ ณ.วันนี้
อย่างไรก็ตามการถูกวิจารณ์จากแฟนบอล ไปจนถึงสื่อมวลชน ที่ วิลเลี่ยน กำลังเผชิญอยู่นั่น ต้องบอกว่าเป็นเพราะเรื่องของ ผลงานในสนามของเขาแทบจะ 100 %
วิลเลี่ยน ย้ายมา อาร์เซนอล แบบไม่มีค่าตัว หลังจากปฏิเสธสัญญาใหม่จาก เชลซี ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับ ระยะสัญญาที่เขาต้องการทั้งหมด 3 ปี แต่เชลซียื่นให้เพียง 2 ปี เท่านั้น การเจรจาจึงไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ และนำมาซึ่งการย้ายทีมของเขาในเวลาต่อมา
อาร์เซนอล นำโดย เอดู กาสปาร์ ผู้อำนวยการด้านเทคนิค ของสโมสรปืนใหญ่ มองเขาเป็นทางเลือกที่ดี ในการเสริมแนวรุกให้กับ ปืนใหญ่ ที่มีปัญหามาตลอดหลายฤดูกาล โดยเฉพาะตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวา ที่ไม่ว่าจะเล่นในระบบ 4-2-3-1 หรือจะ 4-3-3 ตัวริมเส้นด้านขวามีปัญหามาโดยตลอด
สาเหตุหลักในการเซ็นสัญญา วิลเลี่ยน เข้าทีม พอจะจำแนกออกมาได้ดังนี้
ผลงานของ นิโกล่าส์ เปเป้ : ปีกไอวอรี โคสต์ ค่าตัว 72 ล้านปอนด์ ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นคำถามว่า ทำไมราคาในตลาดการซื้อขาย สิงหาคม 2019 ถึงถีบตัวสูงมากขนาดนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ เปเป้ ผ่านไปหนึ่งฤดูกาล ผลงานไม่ดี ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในเกมได้ และนั่นทำให้ อาร์เซนอล มองหาทางเลือกเพิ่มเติม
ค่าตัวฟรี และคอนเนคชั่นของ เอดู : นักเตะ ต้องการสัญญาสามปี ในขณะที่ อาร์เซนอล สามารถให้ตรงนั้นได้ แม้จะมีการอัพค่าแรงสูงถึงระดับ 200,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากคิดกันแบบรวม ๆ ไม่รวมในรายละเอียด คิดเพียงค่าเหนื่อยอย่างเดียว อาร์เซนอลลงทุนกับ วิลเลี่ยน ไป 28.8 ล้านปอนด์ กับค่าเหนื่อยตลอดสามปีของเขา
เอดู ทำงานกับทีมชาติบราซิลมาก่อน รู้จักกับ นักเตะ เป็นอย่างดี ด้วยความสัมพันธ์ ด้วยค่าแรงที่มอบให้ แถมยังไม่ต้องย้ายบ้านออกจากลอนดอน ซึ่ง วิลเลี่ยน ปักหลักปักฐานมานานถึง 7 ปีแล้ว ครอบครัวไม่ต้องย้ายบ้าน ลูกไม่ต้องย้ายโรงเรียน องค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ไม่ยากเลยที่ วิลเลี่ยน เลือก อาร์เซนอล มากกว่าการย้ายลีก หรือกลับไปเล่นในบราซิล
ประสบการณ์ : วิลเลี่ยน ประสบการณ์ 7 ปี กับเชลซี คว้ามาแล้วทุกความสำเร็จในประเทศอังกฤษ ไม่รวมในยูโรป้า ลีก ที่ได้มาอีกสองสมัย ผลงานเด่น เป็นตัวหลักของสโมสร ไปจนถึงบางช่วงคือตัวหลักของทีมชาติบราซิล การคว้าตัว วิลเลี่ยน ควรเป็นทางเลือกที่ “ปลอดภัย” เมื่อทีมลองเลือก นักเตะ นอกพรีเมียร์ ลีก ค่าตัวแพง อย่าง เปเป้ มาในฤดูกาลก่อน แล้วผลงานออกมามันไม่ประสบความสำเร็จ การเลือก วิลเลี่ยน ก็น่าจะดีกว่า
ทำไม วิลเลี่ยน ผลงานแย่…ความมั่นใจ?
ว่ากันตามผลงาน หลังจบเกมกับ เซาธ์แธมป์ตัน มีการระบุว่าสถิติว่าตลอดฤดูกาลนี้ นอกจากยิงประตูยังไม่ได้เลย วิลเลี่ยน สร้างโอกาสยิงเข้ากรอบเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ตลอด 20 เกมที่เขามีส่วนร่วมกับ อาร์เซนอล ขณะที่ แอตซิสต์ ทำได้เพียง 3 ครั้ง โดย 2 ใน 3 ครั้ง เกิดขึ้นในเกมแรกของฤดูกาล ในเกมชนะ ฟูแล่ม 3-0 ที่ว่ากันว่านั่นคือ ฟอร์มที่ดีที่สุดของ วิลเลี่ยน ในฤดูกาลนี้
“เกมแรกของผมกับ ฟูแล่ม มันยอดเยี่ยมมาก ผมรู้สึกว่าตนเองมีฟอร์มการเล่นที่ดี แต่หลังจากนั้น ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมพยายามทำดีที่สุดเสมอ บางครั้งสิ่งที่ออกมามันกลับไม่ดีแบบที่ต้องการ ผมบอกได้แค่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล และส่วนหนึ่งของชีวิต บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่ดี บางครั้งก็แย่ และผมต้องอยู่ร่วมกับมัน ณ.เวลานี้ ผมห่างไกลมากจากฟอร์มที่ดีที่สุดของตนเอง และผมต้องการกลับมาสู่ช่วงเวลาที่ดีของตัวเองให้ได้อีกครั้ง”
หากมองกันที่เรื่องของ ผลงาน สถิติการเล่น และจำนวนที่ได้รับโอกาสในการลงสนาม สิ่งที่พอจะบอกได้คือ วิลเลี่ยน อยู่ในช่วง ฟอร์มตก และขาดความมั่นใจ อย่างรุนแรง
นักเตะ หลายคนเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น เธียร์รี่ อองรี หรือว่า เดนนิส เบิร์กแคมป์ แม้กระทั่งรุ่นใหม่อย่าง เมซุต เออซิล ก็ผ่านช่วงเวลาที่การทำงานของพวกเขา ประสิทธิภาพไม่ดีดังเดิม และสิ่งที่จะแก้ไขได้ก็คือ ตัวเอง เป็นสำคัญ
อาร์เซนอล และ มิเคล อาร์เตต้า ยังคงหนุนหลังเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่าผลงานจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ในฐานะโค้ช หน้าที่ก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้ นักเตะ ในทีม “ฟอร์มดีแข่งกัน” ไม่ใช่ “ฟอร์มแย่แล้วก็ปล่อยไป” บนความจริงที่ว่า พวกเขาลงทุนเยอะกับ นักเตะ คนนี้ (รวมถึง เปเป้) ดังนั้นความพยายามในการเค้นฟอร์ม ก็ต้องมากกว่าเดิม เพราะไม่อย่างนั้นขาดทุนยับเยิน ซึ่งที่ผ่านมา อาร์เตต้า ก็พยายามอยู่หลายวิธี ทั้งการให้กำลังใจ ส่งลงตัวจริง ไปจนถึงลองดรอปเป็นสำรอง และล่าสุดกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง แต่ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้น และนั่นต้องย้อนไปที่ นักเตะ นั่นเอง ที่ต้องพยายามต่อไป พยายาม พยายาม และ พยายาม จนกว่าจะฟอร์มดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความพยายาม ที่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล แม้จะน่าพอใจที่ได้พยายาม แต่สุดท้ายแล้ว หากมันไม่เกิดประโยชน์กับทีม “โอกาส” ที่โค้ชจะมอบให้ย่อมมีวันหมดไป แค่วันนั้นมันยังไม่มาถึงเท่านั้น
ปีเตอร์ เคร้าซ์ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ กล่าวถึง วิลเลี่ยน และ เปเป้ ได้อย่างน่าสนใจ โดย “โรโบเคร้าซ์” เชื่อว่า ทั้งสองคน กำลังผิดหวัง และโกรธตนเอง ที่ตอนนี้ พวกเขากลายเป็น นักเตะ นั่งสำรองข้างสนาม ในนขณะที่เด็กดาวรุ่งอย่าง บูคาโย่ ซาก้า ลงแทนที่พวกเขาไปแล้ว
“เก่งพอก็แก่พอ” ยังเป็นคำพูดที่มีตัวอย่างให้เห็นเสมอในวงการฟุตบอล และยิ่งกับ อาร์เซนอล ซึ่งเป็นทีมให้โอกาสดาวรุ่ง ได้แสดงศักยภาพของตนเองออกมา และสามารถพิสูจน์ได้ว่าดีพอ พวกเขาก็ได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่อง
“คนหนึ่งค่าตัว 72 ล้านปอนด์ อีกคนค่าเหนื่อย 2 แสนปอนด์ แต่สุดท้ายคนที่ได้ลงตัวจริง คือคนที่สัญญาฉบับก่อนหน้านี้ ค่าเหนื่อย 3,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และสวมเสื้อหมายเลข 77”
มันคือความจริงที่บาดใจพวกเขาสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ หากอยากกลับตรงจุดเดิมที่เคยทำได้ ก็ต้องพยายามมากกว่านี้ สู้ต่อไป หรือไม่ก็ยอมรับสภาพในฐานะตัวสำรอง รอเวลาโดนปล่อยออกจากทีม
อาร์เซนอลจะปล่อยตัว วิลเลี่ยน หรือ เปเป้ หรือไม่?
แน่นอน หากมองกันที่เรื่องของผลงาน นักเตะ ผลงานแบบนี้ อาร์เซนอล อาจมีสักเสี้ยวความคิดที่มองทางเลือกในการปล่อยตัว เพื่อหาคนที่คิดว่าจะดีกว่ามาทดแทน แต่ประเมินจากสถานการณ์แล้ว ต่อให้อยากขายก็หาทางออกที่น่าพอใจไม่ได้ เพราะปัจจัยเรื่องของการเงิน และการระบาดของโควิด-19 ที่ถล่มเศรษฐกิจโลก ไม่ต่างจาก โลก เป็นนักมวยหลังพิงเชือก ยกการ์ดกันได้บ้างไม่ได้บ้าง โควิด ก็ต่อยแบบไม่มียั้ง ไม่มีเหนื่อย ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
“การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุน”
ในสภาพนี้ ไม่มีทีมไหนพร้อมลงทุน กับ นักเตะฟอร์มตก ในราคาที่อาร์เซนอล ลงทุน กับทั้งสองคนอย่างแน่นอน ในกรณีของ วิลเลี่ยน อาจเป็นไปได้ เพราะมีเพียงค่าแรง แต่กับ เปเป้ ยากยิ่งนัก ถ้า อาร์เซนอล จะหาทางปล่อยตัวแบบไม่เจ็บตัวกับการลงทุนที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
มาถึงบรรทัดนี้ ก็ได้แต่บอกว่า “สู้ ๆ นะ อาร์เซนอล” เพราะฤดูกาลนี้ช่างสาหัสเสียเหลือเกิน