พรีเมียร์ ลีก กลับมาคัมแบ็คลงสนามกันอีกครั้ง หลังจากเบรกทีมชาติไปนาน 14 วัน กลับมารอบนี้ พรีเมียร์ ลีก ได้ต้อนรับผู้จัดการทีมคนใหม่กันถึงสามคน ซึ่งทั้งสามคนไม่ใช่คนใหม่ของลีกนี้แต่อย่างใดกับ ดีน สมิธ (นอริช ซิตี้), เอ็ดดี้ ฮาว (นิวคาสเซิ่ล) และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด (แอสตัน วิลล่า) แต่เรื่องราวของ สตีวี่ จี น่าสนใจที่สุด เพราะนับเป็นการคัมแบ็คสู่งานในลีกสูงสุดของบ้านเกิดตนเองเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
นับเป็นช่วง “เปลี่ยนถ่าย” ในสายงานด้านโค้ชอย่างแท้จริง กับการที่เราได้เห็นโค้ชวัยหนุ่มเกิดขึ้นอย่างมากมายในพรีเมียร์ ลีก ที่อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล คือคนล่าสุดที่กลับมาเพื่อสร้างชื่อในสายงานใหม่ของตนเอง
เจอร์ราร์ด (41 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) ออกจาก ลิเวอร์พูล ในปี 2015 พลาดโอกาสในการเป็น “One Club Man” อย่างน่าเสียดาย โดยเขาเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในปีต่อมากับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในเมเจอร์ ลีก สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาสู่ลิเวอร์พูล ในฐานะโค้ชทีมเยาวชนในปี 2017 ซึ่งอยู่กับทีมเพียง 1 ปี ก็ย้ายไปรับงานระดับสูงกว่าเดิมกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ซึ่งเขาอยู่ที่นั่นสามปี และพาทีมประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2020-2021 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ในแบบ “ไร้พ่าย” ทั้งฤดูกาล ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาในแวดวงผู้จัดการทีมได้รับการยอมรับมากขึ้น จนกระทั่งมาสู่ แอสตัน วิลล่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรามีการพูดถึง แอสตัน วิลล่า บ่อยครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา การเข้ามาของ นาสเซฟ ซาวิริส เศรษฐีอียิปต์ และ เวส อีเดนส์ นักธุรกิจอเมริกัน ที่เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมกัน ทำให้ วิลล่า กลับมาสู่พรีเมียร์ ลีก พร้อมงบประมาณการทำทีม ที่มากกว่าทีมน้องใหม่อื่น ๆ หลายเท่าตัว พวกเขาลงทุนไปมากกว่า 300 ล้านปอนด์นับจากปี 2018 เป็นต้นมา และเมื่อเป็นเช่นนั้น ความคาดหวังก็ย่อมสูงขึ้นในทุกปี เมื่อคนเก่าผลงานไม่ดี สวนทางกับการลงทุน คนใหม่ก็ย่อมเข้ามาและนั่นคือ เจอร์ราร์ด
แอสตัน วิลล่า เลือกเซ็นสัญญากับเขายาวนานถึง 3 ปีครึ่ง เป็นเวลามาตรฐานสำหรับผู้จัดการทีมยุคนี้ กับสูตรสำเร็จ “หนึ่งปีซ่อม หนึ่งปีสร้าง หนึ่งปีมองหาความสำเร็จ” และนั่นหมายถึง“สิงห์ผงาด” เลือกและมอบความเชื่อมั่นในผู้จัดการทีมหนุ่มคนนี้มากพอสมควร อย่างไรก็ตามการรับงานกลางฤดูกาลเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย และสิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ทีมงาน” และการเรียกความเชื่อมั่นจากนักเตะในทีม ซึ่งในเรื่องของทีมงานเขาเรียกตัว สามทีมงาน จาก เรนเจอร์ส กลับมาร่วมงานกันทั้งหมด โดยทั้งสามคนรู้จักกับ เจอร์ราร์ด มาก่อนที่จะทำงานในสกอตแลนด์ร่วมกันแล้ว แม้ว่าบางคนจะไม่ประสบความสำเร็จในการเป็น นักเตะ อาชีพมาก่อน แต่พวกเขาทุกคนอยู่กับวงการฟุตบอลอังกฤษมายาวนานเหมือนกัน และพวกเขารู้จักกันเพราะ “ลิเวอร์พูล”
“บิ๊กแมค” แกรี่ แมคอัลลิสเตอร์ อดีตกองกลางทีมชาติสกอตแลนด์ เป็นที่รู้จักไปทั่ววงการฟุตบอลอังกฤษ และเขาไม่ใช่คนหน้าใหม่ของแอสตัน วิลล่า เพราะเคยทำงานเป็นผู้ช่วยของ เชราร์ อุลลิเยร์ ผู้ล่วงลับ ตอนมาคุมทีมที่นี่ในฤดูกาล 2010-2011 มาแล้ว ส่วนกับ เจอร์ราร์ด แน่นอนรู้จักกันมายาวนานตั้งแต่สมัยลงเล่นกับ ลิเวอร์พูล ในปี 2000 ซึ่ง แมคอัลลิสเตอร์ กับงานด้านโค้ช ถึงเวลานี้เรียกว่าโชกโชนมากกว่า 15 ปี
ไมเคิ่ล บีล คนนี้โปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แม้จะไม่ใช่ นักเตะ ชื่อดังมาก่อนเหมือน แมคอัลลิสเตอร์ แต่ประสบการณ์ก็ไม่ธรรมดา โดย บีล เคยทำงานลิเวอร์พูล มาก่อนในทีมอะคาเดมี่ และเป็นอีกหนึ่งคนในวงการฟุตบอลที่ไม่ได้ผ่านการเล่นทีมอาชีพมาก่อนสมัยหนุ่ม เขาเป็นนักเตะเยาวชนของ ชาร์ลตัน แอตเลติก แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงตัดสินใจเลิกเล่น และเข้าไปรับงานกับเชลซีในปี 2002 ก่อนจะทำงานมายาวนานถึง 10 ปีเต็ม ตามด้วยการย้ายมาทำงานกับ ลิเวอร์พูล โดยเจอร์ราร์ด รู้จักกับ บีล สมัยที่ทำงานกับลิเวอร์พูล ก่อนที่ บีล หนุ่มอังกฤษคนนี้ จะไปทำงานในบราซิลกับอะคาเดมี่ของสโมสร เซา เปาโล ในยุคของ โรเจริโอ เซนี่ ตำนานของสโมสร เซา เปาโล เข้ามาคุมทีม และกลับมาหลังจากอยู่ในแผ่นดินแซมบ้าประมาณ 1 ปี
“ผมไม่รู้อะไรมากนัก หลังจากจบงานที่บราซิล ผมกลับมาอังกฤษโดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไปดี ผมได้ข้อเสนองานคุมทีมจากสโมสรในระดับล่าง แต่แล้ว เจอร์ราร์ด ก็ติดต่อเข้ามา เขาบอกว่าเขากำลังจะไปทำงานกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ผมสนใจไปทำงานกับเขาไหม ผมประหลาดใจมากนะ เพราะตอนผมพบกับเขาที่ลิเวอร์พูล เราแค่เหมือนคนร่วมงานกัน ทักทายกันตามมารยาท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่เขากลับอยากได้ผมเป็นทีมงานกับเขาแน่นอน ผมไม่ปฏิเสธโอกาสนี้”
ทอม คัลชอว์ เข้ามาสู่ทีมในฐานะของโค้ชลูกนิ่งของทีม เขากับ เจอร์ราร์ด ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ยาวนานที่สุดในสามคน เพราะบ้านของพวกเขาอยู่ในละแวกเดียวกัน ส่วนพวกเขาสองคนก็รู้จักกันตั้งแต่เด็ก เข้าทีมเยาวชน ลิเวอร์พูล รุ่นเดียวกัน แต่สุดท้าย เจอร์ราร์ด ได้ไปต่อถึงระดับทีมชุดใหญ่ กลายเป็นตำนานของสโมสร ส่วน คัลชอว์ กลับไม่ได้รับการต่อสัญญาใหม่ และออกจากทีมไปเล่นในลีกล่าง ซึ่งสุดท้ายเขาก็เล่นได้ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกหมดรักในเกมฟุตบอล และเลิกเล่น
“มันยากมากสำหรับผมในช่วงเวลานั้น ผมต้องเห็นอดีตเพื่อนร่วมทีมเยาวชนก้าวไปสู่ทีมชุดใหญ่ เห็น สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ไมเคิ่ล โอเว่น หรือว่า เจมี่ คาร์ราเกอร์ ไปได้ดีจนถึงติดทีมชาติอังกฤษ ส่วนผมตอนนั้นอายุ 21 ปี ทุกอย่างสับสนไปหมดว่าผมจะทำอะไรต่อไป”
สุดท้าย คัลชอว์ ให้เวลาตัวเองพักใหญ่ และกลับมาทำงานกับ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นจากงานพาร์ทไทม์ในสโมสร กับงานเกี่ยวกับ อะคาเดมี่ และต่อมาก็พัฒนามาเรื่อยกับการลงเรียนใบอนุญาตโค้ชกับยูฟ่า จนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นโค้ชเยาวชนแบบเต็มตัว กับลิเวอร์พูล ได้ร่วมงานกับ เจอร์ราร์ด อีกครั้งในฐานะของโค้ช และเส้นทางของพวกเขาสองคนก็กลับมาบรรจบกันอีกครั้ง
เริ่มต้นด้วยการรักฟุตบอล รู้จักกันเพราะ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จด้วยกันที่ เรนเจอร์ส และมาวันนี้พวกเขา 4 คน กำลังอยู่ในภารกิจ “ติดปีก” สิงห์ผงาด ตัวนี้ ซึ่งจะเป็น บทพิสูจน์ พวกเขาว่าดีพอหรือยังกับการเป็นโค้ชระดับชั้นนำของวงการรุ่นต่อไป เริ่มต้นจาก ไบร์ทตัน คืนนี้กันก่อนเลย!
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.