ฟุตบอลลีกจบสิ้นลงแล้ว พร้อมกับความสุข ของหลายสโมสร และความผิดหวังของหลายสโมสร ที่ทำให้ฤดูกาลนี้ ยังเต็มไปด้วยดราม่า และโมเมนต์น่าจดจำ มากมาย
อีกไม่ถึงสามสัปดาห์แล้ว ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือฟุตบอลยูโร 2020 เวอร์ชันเตะในปี 2021 จะกลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยจะเป็นครั้งแรกที่ ยูโร รอบนี้จะไม่มีเจ้าภาพ (Host) อย่างเป็นทางการ แต่จะใช้งานเป็นเจ้าภาพร่วมจากหลายประเทศในยุโรป ซึ่งเกิดจากวาระครบรอบ 60 ปีการมีการแข่งขันรายการนี้ ซึ่งต้องบอกอีกว่า “โคตรโชคดี บนความโชคร้าย” เพราะหากมีการกำหนดเจ้าภาพเพียง 1-2 ประเทศ แบบทุกครั้งที่ผ่านมา คงได้มีความเสียหายด้านการเงินมากพอสมควร จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำลังอยู่ในปีที่สองแล้ว และยังคงไม่หมดไปจากโลกเสียที
ด้วยผลของ โควิด-19 ทำให้ปีนี้ทาง ยูฟ่า ได้ประกาศให้ทุกชาติที่เข้าร่วมสามารถเพิ่มโควตา นักเตะ ของตนเองจากเดิม 23 คน มาเป็น 26 คนได้ เพื่อป้องกันทั้งเรื่องความเหนื่อยล้าของ นักเตะ ที่กรอบกว่าปกติจากการบีบอัดของกรอบเวลาในเกมลีก เตะกันถี่ยิบ เพื่อให้ทัวร์นาเมนต์นี้ ลงเล่นได้ตามเวลาเดิม แค่ขยับจากเดิมมาอีกหนึ่งปี
หลายชาติเริ่มประกาศรายชื่อ นักเตะ ของตนเองออกมาแล้ว บางชาติยังไม่เรียบร้อย แต่สำหรับทีมชาติอังกฤษ ต้องบอกว่ามาแปลกกว่าชาติอื่น เมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือก นักเตะ มาร่วมงานกันถึง 33 คน เพื่อทำการเข้าแคมป์ทีมชาติในช่วงตลอด 4 วันนับจากนี้ ก่อนจะมาหั่นเหลือเพียง 26 คนสุดท้ายไปรับใช้ชาติ โดยจะส่งชื่อให้กับ ยูฟ่า ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2021
แกเร็ธ เซาธ์เกต (50 ปี สัญญาถึงกลางปี 2022) เข้ามาคุมทีมเป็นปีที่ 5 กับการคุมบังเหียน “สิงโตคำราม” สามปีก่อน เขาทำให้ อังกฤษ ได้กลับไปยืนแถวหน้าของวงการฟุตบอลระดับชาติด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 และมาครั้งนี้ นี่คือครั้งแรกของเขาในทัวร์นาเมนต์ยูโร ในฐานะของผู้จัดการทีม
พูดถึงชื่อ เซาธ์เกต แล้วหลายคนมักจะจดจำเขาในฐานะของ แนวรับ แอสตัน วิลล่า และ มิดเดิ้ลสโบรซ์ แต่ภาพจำใหญ่ที่สุด หนีไมพ้นการเล่นกับทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 1996 กับการพลาดจุดโทษในเกมรอบรองชนะเลิศในเกมพบกับทีมชาติเยอรมัน
“มันหลอกหลอนผมมาอย่างยาวนาน 20 มากกว่า 20 ปี และผมก็ได้ตระหนักว่า ผมได้ทำการชำระมันคืนให้กับประเทศอังกฤษแล้ว หลังจากผมพาทีมชาติเอาชนะในช่วงการดวลจุดโทษ ในเกมฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมสุดท้าย และช่วยให้เราเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ”
“ในเกมยูโร 1996 ผมอายุมากพอที่จะยอมรับว่า เรามีโอกาสหลายครั้งในเกม แต่ก่อนที่ผมจะผมจะลงไปทำหน้าที่ยิงจุดโทษ ผมรู้สึกได้ว่าทุกอย่างมันจะเกิดขึ้น จากการเตะเพียงครั้งเดียว และผมตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เมื่อผมพลาดทุกคนก็ต่างมีความผิดหวัง และเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว”
“ผมจำได้ว่ามีบางคนบอกกับ ผมในเวลานั้นว่า ผมแค่โชคร้ายเท่านั้นเอง แต่สำหรับผมแล้วนั่นมันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ผมไม่ได้โชคร้ายอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้คิดว่า มันคือความกล้าหาญอะไรในการอาสาเดินออกไปทำหน้าที่ยิงจุดโทษด้วย เพราะในความจริงแล้ว ความกล้าคือการออกไปแล้วบอกว่า ผมคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในการรับหน้าที่ บางคนเลือกที่จะไม่เดินก้าวออกมา และอยู่กับที่ แต่ผมคิดว่ามันอาจเป็นการตัดสินใจที่ใช่ โดยที่ผมกลับไม่สามารถใช้ทักษะของตัวเองออกมาในช่วงเวลาที่กดดันแบบนั้นได้ มันคือบทเรียนที่ผมไม่มีวันลืม…มันทำให้ผมฝันร้าย และหลายคืนที่นอนไม่หลับ”
การกลับมาสู่ทัวร์นาเมนต์เดิมที่ตนเองเคยผิดพลาด คืองานใหญ่ที่เขาใช้ประมวลความคิดค่อนข้างเยอะ ก่อนที่จะเลือก 33 ผู้เล่นมาเช็คฟอร์ม เช็คร่างกาย และจิตใจก่อนตัดตัว โดยรอบนี้มี 11 คน ที่หล่นหายไปจากตอน ฟุตบอลโลก 2018 ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ไม่บาดเจ็บ ก็ผลงานไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม บนพื้นฐานที่ว่า ปีนี้สโมสรในอังกฤษ เข้าชิงฟุตบอลยุโรปมากถึง สามสโมสร ประกอบไปด้วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี ซึ่งเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศจะเตะกันในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ จะเป็นการเช็คครั้งสุดท้าย ในเรื่องของสภาพร่างกาย หรือหากใครดวงแตกบาดเจ็บในเกมนั้นพอดี ก็อาจจะต้องนั่งดูอยู่บ้านในเดือนหน้าก็เป็นไปได้เช่นกัน
แดนนี่ โรส / เอริค ไดเออร์ / เจมี่ วาร์ดี้ (รายนี้อำลาทีมชาติ) / แจ็ค บัตแลนด์ / แดนนี่ เวลเบ็ค / แกรี่ เคฮิลล์ / ฟิล โจนส์ / ฟาเบียน เดลฟ์ / แอชลีย์ ยัง / เดเล่ อัลลี่ / รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ นิค โป๊ป คือกลุ่มคนที่หลุดจากทีมไป
ส่วนหน้าใหม่ชื่อไม่ค่อยคุ้นกับทีมชุดใหญ่ อย่าง อารอน แรมสเดล (23 ปี เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด), แซม จอห์นสตัน (28 ปี เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน), เบน ไวท์ (23 ปี ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน) และ เบน ก๊อดฟรีย์ (23 ปี เอฟเวอร์ตัน) คือทางเลือกที่เข้ามาเซอร์ไพรส์ในรอบนี้ เช่นเดียวกับ จู๊ด เบลลิงแฮม (17 ปี โบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์) ก็มาพร้อมกับการเป็น นักเตะ อายุน้อยที่สุดที่ติดทีมชุดนี้ และมีหลายคนที่อยู่ในทีมครึ่งล่างของพรีเมียร์ ลีก มองในแง่ดี คือ เซาธ์เกต มองที่ผลงานส่วนตัวเป็นหลัก ไม่ได้มองถึงผลงานของทีม
ในตำแหน่งนายทวารเลือกมา 4 คนค่อนข้างแน่นอนว่า จอห์นสตัน และ แรมสเดล ต้องแย่งเพียงที่นั่งเดียวเท่านั้น เพราะ จอร์แดน พิคฟอร์ด และ ดีน เฮนเดอร์สัน คนหนึ่งมือหนึ่งมาต่อเนื่อง อีกคนผลงานกับทีใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่อนข้างดี ทำให้สองคนที่เหลือซึ่งอยู่ในทีมตกชั้นทั้งคู่ ต้องวัดความสามารถ และการสร้างความประทับใจให้มากที่สุด
กองหลังมีการเรียกมากถึง 12 คน มากที่สุดในทีม ปีนี้หลายคนผลงานดี อย่างเช่น จอห์น สโตนส์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ จากค่ายเรือใบสีฟ้า ไม่น่าพลาดหลุดทีม แต่สำหรับคนอื่นอย่างเช่น แฮร์รี่ แมคไกวร์ อย่างไรก็ต้องติดทีมยกเว้นเพียงปัญหาสภาพร่างกายของเขาเท่านั้น ซึ่งดูแล้ว เซาธ์เกต ไม่ปล่อยให้ตกเครื่องแน่นอน ส่วนที่เหลือ เทรนด์-อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ปีนี้หงส์แดง ไม่แรงฤทธิ์เหมือนเก่า แถมยังมี ไคล์ วอล์คเกอร์, คีแรน ทริปเปียร์ และ รีส เจมส์ มาชิงตำแหน่งแบ็คขวากันหมด งานนี้ถ้าซ้อมไม่ดี อาจมีช้ำใจเหมือนกัน ส่วน เบน ไวท์ ต้องบอกว่าโอกาสน้อย แต่การมาติดทีมชาติเข้าแคมป์ ก็หมายความว่า สิ่งที่ทำมาทั้งฤดูกาลได้รับการสังเกตเห็น โดยนายใหญ่โดยตรง
กองกลาง เรียกมาเพียง 7 คน ตรงนี้มองว่าอาจจะไม่มีการตัดตัวออกไปเลย เพราะนอกจากจะเรียกมาน้อยแล้ว ตัวเลือกก็ไม่ได้มีมากนัก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปีนี้เจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนบ่อยมาก เป็นปัญหาที่ต้องกังวล เช่นเดียวกับ “ปีร์โล่แห่งยอร์คเชียร์” คัลวิน ฟิลลิปส์ หนึ่งเดียวจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็มีปัญหาประปราย ส่วน มหาเทพ เจสซี่ ลินการ์ด กลับมาทันเวลาจากการสำแดงเดชในช่วงเวลากับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
กองหน้า 10 คนที่เรียกมา ค่อนข้างรักพี่เสียดายน้อง แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิง รวมถึง จาดอน ซานโช่ อาจเป็นเพียงสามคน ที่การันตีที่นั่งแน่นอน ที่เหลืออีก 7 คน ดีกว่ากันไม่มากนัก ทั้งในแง่ของประสบการณ์ และผลงานส่วนตัว มองแล้วพื้นที่ตรงนี้น่าจะมีอย่างน้อย 2 คนต้องผิดหวัง
ส่วนตัวมองว่า : อารอน แรมสเดล, เบน ไวท์, เบน ก๊อดฟรีย์, รีส เจมส์, คีแรน ทริปเปียร์, บูคาโย่ ซาก้า และ โอลลี่ วัตกินส์ จะเป็น 7 คนที่ผิดหวัง ส่วนจะเป็นตามนั้นไหมต้องติดตามกันต่อไป