ความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม “แดงเดือด” รอบล่าสุด ทำให้บรรยากาศรอบสนาม “เดือดดาล” อย่างหนัก กับการที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป ไม่มีข่าวการโดนปลดออกจากทีม แม้ว่าจะมีการ #OleOut กันมาพักใหญ่แล้ว
รูปเกมที่แนวรับยุ่ยเป็นทิชชู่ราคาถูก ทั้งที่หนึ่งในนั้นคือ กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก อย่าง แฮร์รี่ แมคไกวร์ รวมถึง แบ็คขวาระดับ 50 ล้านปอนด์ อย่าง อารอน วาน-บิซซาก้า ในขณะที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ ลุค ชอว์ ก็ผ่านเกมระดับชาติชุดใหญ่มาแล้วหลายสิบเกม ไม่รวมถึง ดาบิด เด เคอา ที่หากไม่มีเขาก็อาจจะไหลไปมากกว่า 5 ประตู
คุณภาพของเกมคงไม่ต้องพูดถึง หลายเพจ หลากหลายนักวิจารณ์ หลายล้านแฟนบอล ก็ออกมาสับจะ น้าลูกอม และลูกทีมไม่มีชิ้นดี วันนี้ตื่นเช้ามาไม่แฟนผีจวกทีมตัวเอง ก็เจอแฟนหงส์ออกมาเริงร่ากับชัยชนะใหญ่ ที่ไม่เกิดเคยเกิดขึ้นมาหลายสิบปี พวกเขาสมควรจะเฮฮา เพราะมันเหมือนการยัดเยียดความฉิบหายให้กับอริตลอดกาลได้อย่างหมดจด หลังจากช่วงทศวรรษที่ 90 ต่อด้วย 2000 พวกเขาคือลูกไล่ของปีศาจแดงในเกมลีกมาโดยตลอด
ในมุมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมนี้ชัดเจนแล้วว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังไม่ใช่ทางเลือกที่ใช่ในการพาทีมประสบความสำเร็จ ซึ่งก็น่าใจหายแทนพวกเขาเหมือนกัน หลังการครองความยิ่งใหญ่ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 9 แล้วที่พวกเขาไม่มีถ้วยแชมป์พรีเมียร์ ลีก ประดับสโมสร และ โซลชา คือโค้ชคนที่ 4 แล้วต่อจาก เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่มารับงานคุมทีมแบบถาวร และยังไม่อาจพาทีมกลับไปยังจุดเดิมได้ เปรียบเหมือนกับ “วัฏจักร” ของฟุตบอล ที่ไม่มีใครอันดับหนึ่งได้ตลอดไป มีแต่ว่าใครจะยืนระยะรักษามาตรฐานได้ดีกว่ากัน ซึ่งถึงตรงนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงทีมเคยรุ่งเรืองอย่าง อาร์เซนอล ไปด้วยอีกทีม กำลังงมหาคนที่ใช่ เพื่อพาทีมกลับมาอีกครั้ง ส่วนยุคนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เชลซี นี่คือยุคของพวกเขาสามสโมสรในการแย่งความสำเร็จในทั้ง พรีเมียร์ ลีก หรือว่าระดับสโมสรยุโรป
โซลชา หลังรับงานคุมทีมเป็นการถาวร เขาคุมทีมมาแล้ว 145 เกม ชนะ 77 เสมอ 32 แพ้ 36 ซึ่งมองตัวเลขแล้วก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ถ้าคุณคุมทีมกลางตาราง หรือทีมระดับล่าง แต่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันห่างไกลความคาดหวังไปหลายปีแสง ยิ่งเมื่อปีนี้ พวกเขาได้ทั้ง ราฟาแอล วาราน, จาดอน ซานโช่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาร่วมงานด้วย บวกกับขุมพลังเดิมที่มีอยู่ พวกเขาอาจจะกล้อมแกล้มว่าไม่หวังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก เพราะยังขาดตรงนั้นตรงนี้ ว่ากันไป แต่อย่างน้อยมันก็ควรดีกว่านี้ไม่ใช่ตามหลังจ่าฝูง 8 คะแนน พร้อมกับผลงานไม่ชนะใคร 4 เกมติดต่อกันในลีกแบบที่ออกมา รวมถึงฟอร์มระดับทิชชู่เปียกน้ำ ในเกมล่าสุด
เปรียบเทียบกับ อาร์เซนอล ที่อยู่ในช่วงขาลง หาทางกลับมาพุ่งชนความสำเร็จเหมือนกัน มิเคล อาร์เตต้า ก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว กับการไม่ชนะใครในลีกมาแล้ว 7 เกมติด (เสมอ 2 แพ้ 5) ในเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม 2020 รวมถึงที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาลกับการแพ้ 3 เกมแรกของฤดูกาลนี้ ที่ทำให้เงาหัวของ อาร์เตต้า หวิดหายไปจากตำแหน่งโค้ชใหญ่ของทีมมาแล้ว แต่ทั้งหมดที่รอดมาได้ เพราะ “โอกาส” ยังมี และคัมแบ็คกลับมาได้ หาก โซลชา ยังมีบุญมากพอ จะได้รับการสนับสนุนต่อไป โอกาสยังคงมีอยู่เสมอ แต่ถ้าหมดเมื่อไรก็เมื่อนั้น และเขาไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากแก้ตัวใด ๆ เพราะสโมสรก็ถือว่าจัด “ชุดใหญ่” ในการช่วยเหลือเขามากกว่าอีกหลาย ๆ ทีม
บรรยากาศใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด คงจะระอุหนักตลอดสัปดาห์นี้ จนกว่าเกมต่อไปจะมาถึง ซึ่งจะต้องเจอกับ สเปอร์ส ส่งท้ายเดือนตุลาคม ตามด้วยบุกไปเยือน อตาลันต้า ถึงแบร์กาโม่ และกลับมาทำศึก “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” เอาแค่สามเกมนี้ โซลชา จะกลับมายังไงยังมองไม่ออก แม้จะบอกว่า ใจยังสู้ ยัง “Never Give Up” แต่ผลงานแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการพูดปลอบใจตัวเอง เพราะฟุตบอลยุคนี้ สโมสรไม่ได้สนใจว่าคุณคือใคร เป็นตำนานของทีมหรือเปล่า แต่สนที่ว่าผลงานของทีมได้ตามเป้าหมายหรือไม่
ส่วนการเปลี่ยนโค้ชจะเกิดขึ้นหรือไม่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาถามผู้เกี่ยวข้องกับปีศาจแดง ร้อยละ 99 % ก็บอกว่าเปลี่ยน แต่ 1 % นั้นอาจเป็น บอร์ดบริหาร ที่ยังคงไม่เลือก หรือยังหาตัวเลือกที่คิดว่าเหมาะสมมาก็เป็นได้หมด
ชื่อของ อันโตนิโอ คอนเต้ หรือ ซีเนอดีน ซีดาน ทางเลือกระดับ “A-List” ที่ว่างงานอยุ่ มีข่าวแทบทุกสัปดาห์ และมั่นใจได้ว่า สัปดาห์นี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะแข่งกับ นิวคาสเซิ่ล เรื่องข่าว ผู้จัดการทีมคนใหม่ ที่รายหลังชิงปลด สตีฟ บรู๊ซ ออกไปแล้ว เปิดทางรอโค้ชใหม่แบบเต็มตัว พร้อมงบประมาณที่พร้อมเทลงมาในตลาดมกราคมนี้
ในมุมของ ลิเวอร์พูล นี่คือช่วงรุ่งเรืองที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และผองหงส์ ยังมองได้ถึงความสำเร็จไปอีก 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย กับทีมที่อยู่กันมาบางคนเข้าสู่ปีที่ 7 ส่วนมากเข้าสู่ปีที่ 5 กับทีม พร้อมกับแผนงานในการปรับทีมด้วยการต่อสัญญา นักเตะใหม่ตัวหลัก, ปล่อยนักเตะสำรอง หรือที่ไม่ใช้งานเอาเงินเข้าระบบ พร้อมปั้นดาวรุ่งชุดใหม่ขึ้นมาเสริมทีม ซึ่งรอติดตามกันต่อไปว่า การต่อยอดความสำเร็จด้วยการ “เปลี่ยนถ่าย” ครั้งนี้จะไร้รอยต่อ หรือสะดุดมากน้อยแค่ไหนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า แต่ก่อนอื่น สัญญาใหม่ของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ บอร์ดบริหารลิเวอร์พูล ไม่ควรคิดให้มากความ เมื่อ นักเตะ เล่นเรียกราคาขนาดนี้ แฟนบอลก็เชียร์สุดตัว หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง สัญญาใหม่นี้ควรเกิดขึ้น เพื่อขวัญและกำลังใจของทีมจะได้ไปต่อในฤดูกาลที่ ณ เวลานี้ ยังไม่แพ้ใครเลยในทุกรายการแข่งขัน และเป็นทีมเดียวที่ยังคงไร้พ่ายในลีกฤดูกาลนี้
สัปดาห์ที่ 9 ของพรีเมียร์ ลีก จบลงอย่างเป็นทางการผ่านไปแล้ว 1 ใน 4 ของฤดูกาลนี้ ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น แต่ก็เริ่มเห็นกันแล้วว่า ทีมไหนสถานะอยู่ในระดับไหน และปีนี้แฟนบอลแต่ละทีม พอจะหวังอะไรได้บ้างกับทีมรักของตนเอง