อองรี เดโลเนย์ เกียรติยศแห่งฟุตบอลยุโรป "ถ้วยแชมป์แห่งยุโรป"
หลังจากที่เรา หยิบเรื่องราวของ ถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก กันมาแล้ว วันนี้เราขอ หยิบยกอีกหนึ่ง ถ้วยแชมป์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับฟุตบอลระดับชาติ ของทวีปยุโรป
กับรางวัลสำหรับ ชาติ ที่สามารถคว้าแชมป์ ทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอล ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รางวัลที่เรียกว่า “อองรี เดโลเนย์”
ก่อนจะบอกเล่าถึง ที่มาที่ไปของชื่อ ถ้วยแชมป์ รายการนี้ เรามารู้จักกับ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือที่เราเรียกกันว่า ฟุตบอลยูโร นั่นเอง
ทัวร์นาเมนต์นี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1960 โดยเป็นแนวคิด กับการขยายการแข่งขันฟุตบอล ไปทั่วยุโรป โดยเป็นการเสนอของ สมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส นำโดย เลขาธิการทั่วไปของสมาคม ที่มีชื่อ นาย อองรี เดโลเนย์
เขาเสนอ โปรเจคต์ดังกล่าวในปี 1927 แต่กว่าที่จะมีการเริ่มต้นการแข่งขัน ครั้งแรก อย่างเป็นทางการ ในปี 1960 โดย ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพประเทศแรก และมีการแข่งขันเพียง 4 ทีมเท่านั้น และทีมแชมป์แรกของ ทัวร์นาเมนต์ คือ สหภาพโซเวียต
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็มี การจัดการแข่งขัน อย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดให้แข่งขันเป็นประจำทุก 4 ปี จนกระทั่งการแข่งขันครั้งล่าสุดในปี 2016 มีการจัดการแข่งขัน มาแล้วทั้งสิ้น 15 ครั้ง ด้วยกัน
ประวัติ ถ้วยแชมป์ อองรี เดโลเนย์
สำหรับ “ถ้วยแชมป์” ฟุตบอลชิงแชมป์ แห่งชาติยุโรป นั้น ได้มีการออกแบบขึ้น และตั้งชื่อถ้วยนี้ว่า “อองรี เดโลเนย์”ตามชื่อของ นาย อองรี เดโลเนย์ ผู้ซึ่ง เป็นคนเสนอ แนวคิด ในการจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี 1927 นั่นเอง
เดโลเนย์ เป็นชาวฝรั่งเศส และเคยเป็นอดีต นักเตะ มาก่อน หลังจากเลิกเล่น ฟุตบอล อาชีพ เขาไปทำงานเป็น กรรมการตัดสินเกม ฟุตบอล หลังจากระหว่างการตัดสิน เกมฟุตบอล ระหว่างทีม เอตวล เดอ ดุกส์ พบกับ เบเนโวเลนซ์ และ เกิดอุบัติเหตุ จากจังหวะที่เขา โดนบอลเตะอัดเข้าที่ใบหน้า ทำให้เขา กลืน นกหวีด เข้าไปในลำคอ รวมถึงเคยเสียฟันไปสองซี่ จากอุบัติเหตุในครั้งนั้น และทำให้เขาเลิกอาชีพ กรรมการ ไปเลยทันที
หลังจากนั้น เขาก็เข้าสู่งานบริหารสโมสรฟุตบอล ก่อนที่สุดท้าย จะกลายมาเป็น ประธานสโมสร เอตวล เดอ ดุกส์ ก่อนที่จะกลายมารับงานเป็น เลขาธิการทั่วไป ของ สมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส ในปี 1919
ซึ่งจากตรงนั้น ทำให้เขาได้เขาไปเป็นสมาชิกของ ฟีฟ่า ในฐานะของสมาชิกคนหนึ่ง ซึ่งในเวลานั้น “จูลส์ ริเมส์” ดำรงตำแหน่งเป็น ประธานฟีฟ่า (ต่อมา จูลส์ ริเมส์ ได้ถูกนำชื่อ ไปเป็นถ้วยแชมป์โลกใบแรก ในประวัติศาสตร์) ซึ่ง เดโลเนย์ และ จูลส์ ริเมส์ ก็มีการ พูดคุยกัน เกี่ยวกับการต้องการขยาย ให้ฟุตบอล ได้รับความนิยม ไปทั่วโลก ทำให้ต่อมาจึงเกิด “ฟุตบอลโลก” ในเวลาต่อมา รวมถึง การเสนอ แนวคิดของ เดโลเนย์ ในการจัดการแข่งขัน ฟุตบอล ทั่วทวีปยุโรป
เดโลเนย์ ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างต่อเนื่อง จนได้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการทั่วไป ของ ยูฟ่า ก่อนที่เขาจะ เสียชีวิตในปี 1955 ด้วยวัย 72 ปี
5 ปีต่อมา ความฝันของ เดโลเนย์ เป็นจริง กับการแข่งขันในปี 1960 และนั่นทำให้ “รางวัล” ของผู้ชนะ รายการนั้น จึงได้รับการ ตั้งชื่อว่า “อองรี เดโลเนย์” เพื่อเป็นเกียรติ แด่เขา ผู้จากไปก่อนที่จะได้เห็น สิ่งที่เขา เป็นผู้คิดขึ้น กลายเป็นความจริง
championnat d’Europe ถ้วยแชมป์แห่งยุโรป
ถ้วยรางวัล “อองรี เดโลเนย์” ได้รับชื่อเล่นว่า “ถ้วยแชมป์แห่งยุโรป” โดยผลิตจากเงินแท้ 100 % และตรงฐานมีการสลักคำว่า “championnat d’Europe” หรือ แชมป์ยุโรป ก่อนที่ใน ฟุตบอล ยูโร 2008 จะมีการปรับขนาดของถ้วย “อองรี เดโลเนย์” ให้มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม และ ถอดในส่วนของฐานตั้งออกไป ให้ ถ้วยสามารถตั้งได้ด้วยตนเอง โดย “อองรี เดโลเนย์” ถ้วยปัจจุบัน มีน้ำหนัก 8 กิโลกรัม และ สูง 60 เซนติเมตร
โดย เยอรมัน เป็นผู้ชนะ ฟุตบอลยูโร มากที่สุด กับการคว้าแชมป์มาแล้ว 3 ครั้ง โดยมี 10 ประเทศ ที่เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว จากการจัดการแข่งขันมาแล้วทั้งสิ้น 15 ครั้งด้วยกัน
และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกของ ฟุตบอลยูโร นั่นก็คือ ทุกทีมที่ได้แชมป์ จะได้รับสิทธิ์ การถือครอง นาน 4 ปี และจะส่งมอบให้กับ ประเทศเจ้าภาพครั้งต่อไป เมื่อการแข่งขันครั้งใหม่ เริ่มต้นขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการ โปรโมท การแข่งขัน
ถ้วยแชมป์แห่งยุโรป เลื่อนการแข่ง โควิด-19
ในปี 2020 การแข่งขันฟุตบอลยูโร มีการกำหนดให้เป็น “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” ในวาระฉลองครบรอบ 60 ปี การก่อตั้งรายการแข่งขันนี้ โดยมีการกำหนดให้ เป็นทัวร์นาเมนต์ ที่ไม่มีเจ้าภาพ แต่จะใช้ “12 สนาม 12 ประเทศ”ทั่วยุโรป ในการแข่งขัน โดยรอบชิงชนะเลิศ จะมีการแข่งขัน กันที่ สนาม เวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้การแข่งขันต้องเลื่อนออกไป อีกหนึ่งปี โดยยังคงรูปแบบการแข่งขันเอาไว้แบบเดิม คือใช้ 12 สนามแข่งขันทั่วยุโรป กับการแข่งขันในครั้งนี้