รายการ ฟุตบอลถ้วย อีกหนึ่งรายการ ที่เชื่อว่า หลายคน น่าจะรู้จักกันไม่มากก็น้อย แม้ว่าในปัจจุบันนี้ จะไม่มี การแข่งขันอีกแล้ว ก็ตาม วันนี้ เราจะขอนำคุณ พบกับ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ ที่ครั้งหนึ่ง นี่คือ เส้นทางสำหรับการเข้าสู่ ยูฟ่า คัพ ได้อีกหนึ่งช่องทาง สำหรับ ผู้อกหัก จากการทำอันดับในลีก ไม่ดีพอจะได้ ลงเล่นในฟุตบอลยุโรป
อินเตอรโตโต้ คัพ เกิดขึ้นจากแนวคิดของ เอริค เพอร์สัน ประธานสโมสร มัลโม่ เอฟเอฟ สโมสรในประเทศสวีเดน ซึ่งต่อมาเป็นรองประธานของ ฟีฟ่า ร่วมกับ แอรนส์ ทอมเมน และ คาร์ล รัปแพน ซึ่งทำงานเป็นโค้ชอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ทั้งสามคน มีบทบาทในช่วงเริ่มต้น กับคอนเซปต์แนวคิดที่ว่า “ฟุตบอลถ้วย สำหรับทีมที่ไม่มีฟุตบอลถ้วยให้แข่ง” โดยสโมสรที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน รายการนี้ ต้องไม่มีสิทธิ์ ลงเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า คัพ หรือ คัพ วินเนอร์ส คัพ อยู่ก่อนแล้ว โดย สโมสร ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันจะต้องทำการ ลงทะเบียนล่วงหน้า ซึ่งต่างจาก รายการอื่นของยุโรป ที่ถูกจัดแบ่งสัดส่วนด้วยอันดับในตารางแข่งขัน และการกำหนดจากค่าสัมประสิทธิ์ของแต่ละ ลีก เอาไว้โดยยูฟ่า แบบที่เราคุ้นเคย ในเวลานี้
หลังจากที่ถกเถียง จัดเตรียม หาข้อสรุป กันนานหลายปี ในที่สุด อินเตอร์โตโต้ คัพ ก็สามารถจัดแข่งขันได้เป็นครั้งแรก ในปี 1961 ภายใต้ชื่อ อินเตอร์เนชันแนล ฟุตบอล คัพ (International Football Cup) โดยแรกเริ่ม มีการจัดการแข่งขันเป็นกลุ่ม และแข่งขันกันต่อในรอบ น๊อคเอ้าท์ เพื่อหาผู้ชนะ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนมาเป็น รอบแบ่งกลุ่มเพียงอย่างเดียว ใครคว้าแชมป์กลุ่มก็ได้ เข้าไปเล่นในยูฟ่า คัพ ได้เลย โดยทีมแรกที่ได้แชมป์รายการนี้ คือ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยอดทีมจาก เนเธอร์แลนด์ เอาชนะ เฟเยนูร์ด ร๊อตเตอร์ดัม ตัวแทนจากชาติเดียวกัน ในรอบชิงชนะเลิศ
จนกระทั่งในปี 1995 ยูฟ่า เข้ามามีบทบาท กับการแข่งขันนี่อย่างเต็มตัว อินเตอร์โตโต้ คัพ มีการปรับมาเล่นแบบแบ่งกลุ่ม หาสองทีมที่ดีที่สุด ของแต่ละกลุ่ม เข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ โดย บอร์กโดซ์ ตัวแทนจาก ฝรั่งเศส กลายเป็น แชมป์ รายการนี้ ทีมแรก นับจากที่ ยูฟ่า เข้ามาบริหารจัดการเต็มรูปแบบ ในปี 1995และประสบความสำเร็จ เป็นอย่างสูง เมื่อพวกเขา เข้าถึง รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ก่อนจะพ่ายต่อ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่ง บอร์กโดซ์ ในยุคนั้น นำโดย นักเตะดังอย่าง คริสตอฟ ดูการ์รรี่, บิเซนเต้ ลิซาราซู และ ซีเนอดีน ซีดาน นำทัพ
หลังจากนั้น อินเตอร์โตโต้ คัพ ก็มีการปรับรูปแบบการแข่งขัน อีกหลายครั้ง จนกระทั่ง ในปี 2006 ยูฟ่า ได้มีการปรับรูปแบบ เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการ จัดการแข่งขัน โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นรอบน็อคเอ้าท์ จำนวนสามรอบ หากสโมสรใด สามารถผ่านทั้งสามรอบ จะได้เข้าสู่รอบคัดเลือกของยูฟ่า คัพ ต่อไป โดยจะมีทั้งหมด 11 ทีมด้วยกัน และการตัดสินแชมป์ จะวัดจากผลงานของทั้ง 11 ทีม ว่าสโมสรใดผลงานดีที่สุดไปได้ไกลที่สุดใน ยูฟ่า คัพ ก็จะได้รับการระบุว่าเป็นแชมป์รายการนี้
สโมสรสุดท้าย ที่ได้รับการระบุว่า เป็นแชมป์ อินเตอร์โตโต้ คัพ อย่างเป็นทางการ คือ สโมสร บราก้า ตัวแทนจาก ประเทศ โปรตุเกส และ ตลอดการมีการแข่งขัน อินเตอร์โตโต้ คัพ ไม่เคยมีสโมสรใดที่ลงเล่นในรายการนี้ และจบลง ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพได้เลยแม้แต่ทีมเดียว
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์โตโต้ คัพ ไม่เป็นที่นิยม มากเท่าไรนัก แม้ว่าจะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมฟุตบอลยุโรป เนื่องจาก ต้องแข่งขันกัน ตั้งแต่ ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ซึ่งจะกระทบต่อ การเตรียมทีมของแต่ละสโมสร โดยตรง ซึ่งอาจส่งผลต่อทีมในระยะยาวได้ หากทีมเหล่านั้น ต้องการทำอันดับเพื่อไปเล่นใน ยูฟ่า คัพ โดยตรงในฤดูกาลหน้า
ในปี 2007 มิเชล พลาตินี่ เข้ามาเป็น ประธานคนใหม่ของ ยูฟ่า และประกาศการยุติบทบาทของ อินเตอร์โตโต้ คัพ ภายในปี 2009 เพื่อให้การแข่งขัน เหลือเพียง ยูฟ่า คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียงสองรายการ ง่ายต่อการจัดการ และปรับให้เข้าสู่ระบบการเข้ารอบ คัดเลือก ยูฟ่า คัพ เลยโดยตรง ไม่ต้องแข่ง อินเตอร์โตโต้ คัพ อีกต่อไป และ ยูฟ่า คัพ ก็มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก จนถึงปัจจุบันนี้
หลังจากยุติบทบาทตลอด 47 ปี ของการแข่งขัน อินเตอร์โตโต้ คัพ ซึ่งบริหารจัดการโดย ยูฟ่า มีการสรุปออกมาว่ามี สโมสรจาก 17 ชาติด้วยกันที่เคยได้สิทธิ์เข้าสู่ ยูฟ่า คัพ จากการแข่งขันรายการนี้ นำโดย ตัวแทนจากฝรั่งเศส มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วย เยอรมัน และสเปน ไปจนถึง ประเทศที่ไม่ได้โดดเด่น ในเรื่องของ ฟุตบอล อย่าง ไซปรัส หรือว่า คาซัคสถาน ก็เคยได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้ มาแล้วเช่นกัน