เออรลิ่ง เบร้าส์ ฮาแลนด์ (21 ปี สัญญาถึงกลางปี 2027) หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ กำลังจะได้ลงสนามในเกมแรกของพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลใหม่ เกมแรกของเขาในวงการฟุตบอลอังกฤษที่เขาได้เห็นมาตั้งแต่วัยเด็ก และวันนี้เขาจะได้สัมผัสมันด้วยตนเอง
ชื่อของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ตลอด2-3 ปีทีผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงชื่อของลูกชายอดีตนักเตะอย่าง อัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์อีกต่อไป แต่คือชื่อของหนึ่งในกองหน้าที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุโรป เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ครบเครื่องทั้งเรื่องของสรีระร่างกาย ความสามารถ และการจบสกอร์ ที่พิสูจน์มาแล้วกับ บุนเดสลีกา และในนามทีมชาติ แต่การย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ ลีก จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญมากสำหรับเขาว่านี่คือ “ของจริง” หรือ “ของปลอมทำเหมือน” สำหรับลีกนี้ กับค่าตัวที่เมื่อรวมกับ add-on. ค่าเอเยนต์ต่างๆ แล้ว ฮาแลนด์มีมูลค่าถึง 85.5 ล้านปอนด์ด้วยกัน
อลัน เชียเรอร์ (51 ปี) ในฐานะของทีมงานของ ดิ แอตเลติก และในฐานะของเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ ลีกที่จำนวน 260 ประตู ได้มีโอกาสคุยกับดาวยิงรุ่นน้องคนนี้ที่พร้อมจะเริ่ม “นับหนึ่ง” ที่จะไล่ตามสถิติของเขานับจากนี้เป็นต้นไป
“ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วนะสำหรับการเล่นพรีเมียร์ ลีก และผมจะสามารถพัฒนาตัวเองได้ในทุกวัน นี่คือเหตุผลในการเลือกย้ายมาเล่นที่นี่ อย่างเช่น ผมมักพลาดโอกาสเสมอทุกครั้งที่ใช้เท้าซ้าย แต่เมื่อวันก่อนผมทำมันได้แล้วล่ะ”
“ถ้าพูดถึงเรื่องของการยิงประตู ผมพัฒนาการใช้เท้าซ้าย, เท้าขวา, ใช้หัวโหม่ง มันมีอะไรหลายเรื่องมาก นั่นคือสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการเล่น มันไม่ต้องสนใจหรอกว่าตัวเองจะต้องอายุเท่าไร แต่คุณสามารถพัฒนาตัวเองได้ทุกวัน พัฒนาไปจนถึงที่สุดของตัวคุณเอง ผมอาจจะทำแบบนั้นได้ในสิบปีต่อจากนี้”
ในวัยเพียง 21 ปี ฮาแลนด์ ผ่านการเล่นในลีกนอร์เวย์กับ โมลด์ ตามด้วยลีกออสเตรียกับ เร้ดบูลล์ ซัลบวร์ก สโมสรแรกที่ทำให้เขาได้สัมผัสเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะก้าวมาสู่เวทีใหญ่อย่างบุนเดสลีกา ที่เขาฝากผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเทียบกันในวัยเดียวกัน เชียเรอร์ ในปี 1991 ก็เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงกับ เซาธ์แธมป์ตัน ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในชีวิตนักเตะอาชีพของเขาในการถล่มประตูอันเป็นที่ของสมญานาม “ฮอตชอต” ที่ยังคงติดอยู่ในชื่อของเขาตราบจนทุกวันนี้
“ผมยังคงเด็กมาก เชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อีกในเส้นทางที่ถูกต้อง และคิดว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทางเลือกที่เหมาะสม ที่นี่ให้ผมพื้นที่ผมในการแสดงผลงาน และในเวลาเดียวกันผมก็จะพัฒนาตัวเองได้ด้วย”
ในฐานะของดาวยิงผู้รักในการส่งบอลเข้าก้นตาข่าย เชียเรอร์ หลงรักมันตั้งแต่เด็ก จากเด็กหนุ่มที่เคยเกือบจะต้องไปเป็นนายทวารสู่การเป็นสุดยอดดาวยิง ไม่ต่างจากฮาแลนด์ ผู้ซึ่งระบุว่าการได้เห็นลูกบอลเข้าประตูด้วยการกระทำของตนเอง มันคือความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
“ผมไม่สนใจหรอกนะว่าจะยิงประตูในแบบไหน ขอแค่มันเป็นการยิงประตูให้ได้ก็พอ มันเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายในตัวผม ตอนผมเด็กกว่านี้ ผมยิงประตูมากมาย ผมอยากยิงให้ได้มาก ๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น ยิงได้ก็ฉลองประตูที่ยิงได้ แล้วก็ยังอยากทำได้อีก ฉลองมันเข้าไปอีก ผมคิดบ่อยมากนะถ้าวันหนึ่งเห็นคนหนึ่งยิงแฮตทริคได้ ผมจะคิดเลยว่าสัปดาห์หน้าถ้าทำได้แบบนี้บ้างก็เยี่ยมไปเลย ผมคิดอยู่แค่นี้ มันเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้คิดถึง แต่ผมคิดแบบนี้ ผมให้เวลาในการซ้อมการยิงประตูมากมาย ผมสนุกกับผม ตอนผมเล่นกับโมลด์ ผมได้คุยกับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เขาบอกว่าผมไม่ได้ใช้ลูกโหม่งเลย ผมก็เห็นด้วยกับเขาต่อมาทุกวันผมจะซ้อมให้คนเปิดบอลมาให้ผมโหม่งประตู ผมทำแบบนั้นทุกวัน ไม่ว่าบางวันจะเป็นการยิงประตูในแบบที่ไม่มีนายทวารซ้อมด้วย ผมก็ยังคงซ้อมต่อไป”
ชีวิตของฮาแลนด์ เริ่มต้นในโลกใบนี้ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ เขาเกิดที่นั่นในช่วงที่พ่อของเขาลงเล่นกับทัพ “ยูงทอง” แต่ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากเขาเกิด อัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ ก็ย้ายมาเล่นกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และนั่นทำให้ลูกชายของเขามีเสื้อแข่งของทีมตั้งแต่เด็ก และเขาก็เหมือนเด็กจำนวนมากที่มีพ่อ หรือว่าแม่เป็นไอดอลของตนเอง และเดินตามรอยในเส้นทางเดียวกัน
“ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ผมก็เริ่มอยากเป็นนักเตะตามพ่อของผม ผมบอกตัวเองว่าผมจะเป็นนักเตะอาชีพ และต้องเป็นนักเตะที่ดีกว่าพ่อ และนั่นเหมือนเป็นหลักยึดที่ผลักดันผม ผมไม่ต่างจากเด็กทั่วไปหรอก ผมมีภาพนักเตะที่ตัวเองชอบติดที่กำแพงมีช่วงเวลาสนุก ๆ กับญาติวัยเดียวกัน เล่นฟุตบอลด้วยกัน พ่อของผมไม่เคยบังคับให้ผมเล่นฟุตบอล ผมเลือกของผมเอง แต่เขาก็ชอบซื้อเสื้อฟุตบอลมาฝากผมนะ ไม่ว่าจะไปที่ไหนกลับมา เสื้อฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมมักจะได้รับมา เขาอาจไม่ได้บังคับ แต่ก็ทำให้ผมได้เห็นมันบ่อย เช่นเดียวกับการย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาก็ไม่ได้บอกให้ผมเลือกเพราะคือทีมที่เขาเคยเล่น แต่เลือกในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด เราคุยกัน ผมรู้สึกอย่างไรกับทางเลือกนี้ เห็นตัวเองไหมในการย้ายมาเล่นฟุตบอลในอังกฤษ”
“ผมลงซ้อมในช่วงปรีซีซั่นกับทีม และเจอกับการทำงานหนักมากจนทำให้ผมรู้สึกว่ามันยากมาก แต่สุดท้ายผ่านไปสักระยะมันก็เริ่มดีขึ้นมาก และจะดีขึ้นไปอีกแน่ การทำงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เขามีข้อความที่ชัดเจนกับการทำทุกอย่าง 100 % มันเป็นทุกอย่างไม่ว่าจะวิ่งหรือกระทั่งการออกกำลังกายทุกอย่างต้องทำแบบที่สุดของที่สุดเท่านั้นทำเหมือนในสนามแข่งทุกอย่าง แม้จะเป็นการซ้อมก็ตาม”
“ท้ายที่สุดแล้วผมเลือกมาที่นี่ด้วยการเลือกของผมเอง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมแชมป์ลีกฤดูกาลที่แล้ว และหวังว่าเราจะดีขึ้นกว่าเดิมในปีนี้ในทุกรายการแข่งขัน ทั้งในแชมเปี้ยนส์ ลีก และฟุตบอลถ้วยอื่น รวมถึงการรักษามาตรฐานในพรีเมียร์ ลีก ที่นี่มีแต่สโมสรระดับชั้นนำ แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงรักษามาตรฐานได้เสมอมา ผมมาที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ และหวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นก็เท่านั้นเอง”
ชีวิตของ เออร์ลิ่ง เบร้าส์ ฮาแลนด์ ในพรีเมียร์ ลีก กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!