อีฟ บิสซูม่า (25 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) กำลังอยู่ในช่วงปีที่ยอดเยี่ยมของตนเอง หลังจากเขากลายเป็นหนึ่งในตัวหลักของ “นกนางนวล” ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน กับผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่แล้ว กับการเป็นนักเตะคนเดียวในลีกที่เข้าปะทะคู่แข่งมากเกิน 100 ครั้ง (104 ครั้ง) และสามารถตัดบอลได้มากถึง 64 ครั้งในลีก รวมถึงสถิติมากมายที่ทำให้เขา คือหนึ่งในกองกลางเนื้อหอมในเวลานี้ และกลายเป็นที่สนใจของหลายสโมสรใหญ่ใน พรีเมียร์ ลีก ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และล่าสุดกับ ลิเวอร์พูล แต่ถึงวันนี้เขายังคงอยู่กับทีมริมทะเลแห่งนี้ต่อไป แม้จะยอมรับว่าสักวันหนึ่งเขาจะออกเดินทางอีกครั้ง
“ผมเลือกจะไม่ย้ายไปไหนในหน้าร้อนนี้ บางทีมันอาจเพราะยังไม่ถึงเวลาของผมก็เป็นได้ในการย้ายออกจากไบร์ทตัน ถ้าผมรู้สึกว่าเวลานั้นมันมาถึง ผมก็จะจากทีมไป แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับไบร์ทตัน และมีความสุขในการเล่นฟุตบอล”
“เป้าหมายของนักเตะทุกคนก็คงเหมือนกันหมด ทุกคนอยากลงเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมต้องการแบบนั้นเช่นกัน ผมต้องการคว้าแชมป์ ต้องการพิสูจน์ความสามารถตัวเองกับนักเตะในระดับท็อป ไม่ใช่เพียงแค่ลงเล่นไปเท่านั้น”
“ผมคือกองกลางที่เก่งที่สุดในพรีเมียร์ ลีก นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของผม คือความคิดที่กระตุ้นให้ผมเค้นฟอร์มออกมาให้ดีที่สุดลงสนามไปทำให้ทุกคนรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ ผมคือ อีฟ บิสซูม่า”
บิสซูม่า คนเดียวกับเมื่อ 12 ปีก่อนยังอยู่ในประเทศมาลี ท่ามกลางอาการร้อนจัด และเต็มไปด้วยความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ชีวิตในวัยเด็กของเขาแม้จะเกิดในประเทศไอวอรีโคสต์ แต่ชีวิตของเขาต้องมาเติบโตกับการเล่นฟุตบอลในต่างประเทศตั้งแต่เด็กกับประเทศ มาลี เริ่มต้นกับการเล่นฟุตบอลแบบ “เท้าเปล่า” ที่ได้รับโอกาลงเล่นในในทีมที่ชื่อว่า มาเจสติก เอสซี และลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ในบามาโก้ และหลังจบเกมนั้น เรามีนักเตะ 5 คนในทีมได้รับเชิญเข้าร่วมอะคาเดมี่ของ ฌอง มาร์ค กียู (อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสในยุค 70 ที่ซึ่งเปิดสถาบันสอนฟุตบอล J.M.G หลายแห่งทั่วโลก) ซึ่งที่นั่นทำให้เขาผู้ซึ่งเล่นฟุตบอลในแบบที่เรียกว่า “ตามมีตามเกิด” ได้รู้จักกับระบบการเล่นฟุตบอลอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยเข้าร่วมในปี 2009 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง 13 ปี
“อะคาเดมี่ของ ฌอง มาร์ค กียู อยู่ที่เมืองบามาโก้ ประเทศมาลี และนั่นทำให้ผมย้ายไปอยู่ที่นั่น มันยากมากเหลือเกินตอนนั้นที่ต้องจากครอบครัวทุกคน ผมสนิทกับพวกท่านมาก ผมอยากอยู่ช่วยเหลือพวกท่าน แต่ผมก็รู้ว่า พ่อกับแม่ผมทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผมเสมอ”
ต่อมา บิสซูม่า ย้ายไปร่วมกับ อาแอส เรอัล บามาโก้ ซึ่งเป็นสโมสรอาชีพในประเทศมาลี โดยเขาลงเล่นกับทีมนานถึงสองปี และที่นั่นเขาได้เจอกับ รูมินิเก้ คูอาเม่ (กองกลางมาลี ปัจจุบันลงเล่นกับ ทรัวส์) ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้ย้ายไปเล่นกับ ลีลล์ สโมสรในลีก เอิง พร้อมกันอีกด้วย โดย ลีลล์ นับเป็นสโมสรแรกอย่างเป็นทางการในการเป็นนักเตะอาชีพของเขา
“ครั้งแรกที่มาเล่นในยุโรป ผมเคยต้องหยุดซ้อมกลางคัน เพราะผมหนาวจนขยับตัวต่อไปไม่ไหว”
หนึ่งปีแรกของเขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งฤดูกาลที่เขาลงเล่นทั้งในทีมสำรอง และทีมชุดใหญ่ จนกระทั่งพบกับจุดเปลี่ยนใหญ่ เมื่อ ลีลล์ เปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและ มาร์เซโล บิเอลซ่า ที่จับเขาลงเล่นเป็นแบ็คขวา ซึ่งแม้ว่า “เอล โลโค่” จะอยู่กับทีมเพียง 7 เดือน แต่ก็ทำให้ บิสซูม่า ประทับใจในการทำงานร่วมกัน
“เขาเป็นยอดโค้ชนะ เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ก็เช่นกันที่เรามีปัญหากัน ผมมีความสุขที่ได้ลงเล่น แต่ผมก้ต้องการความมั่นใจในการเล่นแบ็คขวา ซึ่งเขาบอกผมว่าผมควรย้ายไปเล่นตรงนั้นแล้วจะทำได้ดี ซึ่งผมไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ผมไม่ได้บอกว่ามันผิดนะ แต่ผมไม่เห็นด้วย และเมื่อผลงานของทีมมันออกมาไม่ดี ทุกอย่างก็แย่ลง”
การลาออกของ บิเอลซ่า ทำให้เขากลับมาเป็นกองกลางเหมือนเดิมจนกระทั่งจบฤดูกาล และทำผลงานได้ดี จนเริ่มมีคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับ ปอล ป๊อกบา ทั้งในเรื่องของ รูปร่าง พละกำลัง และภาพลักษณ์ของเขา ซึ่ง บิสซูม่า ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เทียบกันไม่ได้เลย ตรงกันข้ามกับในหมู่เพื่อนฝูงที่ยกย่องให้เขาเป็น ดิดิเยร์ โซโกร่า อดีตกองกลางทีมชาติไอวอรีโคสต์ของสเปอร์ส
“ป๊อกบาคว้าแชมป์โลก คว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ ผ่านการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศมาแล้ว ส่วนผมเพิ่งเริ่มต้นมาเล่นในยุโรปเท่านั้น จะเอาอะไรไปเทียบกับเขาได้ หรือเพราะผมเราทรงเดียวกันอย่างนั้นหรือ ส่วน โซโกร่า เขาคือคนที่ผมมองเป็นแบบอย่าง แนวทางการเล่นเกมรับ, ความดุดัน และการทำงานของเขา เขาเติบโตมาในอะคาเดมี่ของ ฌอง มาร์ค กียู เหมือนผมด้วย น่าเสียดายตอนเขาเล่นกับ สเปอร์ส ผมไม่มีโอกาสได้ดูเลย เพราะมาลีไม่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอล แต่ผมไม่เคยพลาดดูเกมของไอวอรี โคสต์เลย เขาคือหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดของทวีปแอฟริกา”
หลังจากมีสองปีกับ ลีก เอิง การย้ายทีมครั้งใหม่ของเขาก็เริ่มต้น ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา และทำให้เขาจาก “เด็กเท้าเปล่า” เล่นฟุตบอลในแอฟริกา กลายเป็นนักเตะค่าตัวระดับ 15 ล้านปอนด์ โดยคริส ฮิวจ์ตัน เป็นคนเลือกเขาเข้าทีม แต่กลายเป็น เกรแฮม พอตเตอร์ ที่ทำให้ บิสซูม่า เจิดจรัส จนกลายเป็นดาวเด่นของพรีเมียร์ ลีก ณ เวลานี้ แต่ทั้งสองคนคือผู้มีพระคุณสำหรับเขา
“ลีก เอิง เป็นลีกที่ดี แต่มาตรฐานยังไม่ใช่สูงสุด และนั่นทำให้ผมย้ายออกมา ผมอยากเจอเกมที่ยากกว่านี้ ดุดันกว่านี้ พรีเมียร์ ลีก ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเล่นแขมเปี้ยนส์ ลีก ทุกสัปดาห์ ผมเลือก ไบร์ทตัน เพราะผมคุยกับ บาการี่ ซาโก้ และ มอลล่า วาเก้ ซึ่งพวกเขาเล่นในพรีเมียร์ ลีกมาก่อน และพวกเขาก็ยืนยันว่า พรีเมียร์ ลีก คือลีกที่ดีมาก ถ้าผมอยากเก่งกว่านี้ ผมต้องมาลองพิสูจน์ตัวเองที่นี่”
“ฮิวจ์ตัน ช่วยผมเยอะมากในการปรับตัวช่วงแรก กับการใข้ชีวิตนอกสนาม และการเล่นฟุตบอล ผมมีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาอังกฤษ ครอบครัวผมมีปัญหาเรื่องวีซ่า และเขาคือคนที่มาจัดการให้ผมด้วยตนเอง วันที่ผมมีลูกคนแรกเขาก็ส่งของขวัญมาถึงบ้าน ส่วน พอตเตอร์ ก็ไม่ต่างกัน เขาดูแลผมเป็นอย่างดี ทำให้ผมมั่นใจในตัวเอง และสอนอะไรผมหลายเรื่อง พวกเขาสองคนเหมือนกับพ่อของผมเลยล่ะ”
“ผมยังคงสนุกกับ ไบร์ทตัน และฟุตบอล ยังอยากเก่งกว่านี้ อยากแย่งบอลได้มากกว่านี้ เก่งเกมรับเกมรุกดีกว่าที่ทำมา และต้องการยิงประตูได้มากกว่าเดิม ทั้งหมดคือสิ่งที่ผมปรารถนา บนสิ่งสำคัญที่ว่า ไบร์ทตัน ต้องชนะนั่นคือเป้าหมายที่ผมหวังเอาไว้”