เอฟเอ คัพ ไม่ใช่เพียงแค่ รายการฟุตบอลถ้วย ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่มันยังเป็นการแข่งขัน ฟุตบอล ที่ผ่านหน้าประวัติศาสตร์ มาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

• การผ่านช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้ยุติการแข่งขันยาวนานถึง 5 ปี
• การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในปี 1923 เป็นการเปิดสนามกีฬาแห่งชาติที่ชื่อว่า “เวมบลีย์” ซึ่งต่อมากลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า เกมรอบชิงชนะเลิศ จะลงเล่นใน เวมบลีย์ นับจากนั้น (ยกเว้นในช่วงปี 2001-2006 ย้ายไปแข่งกันที่สนาม มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ประเทศเวลส์ เนื่องจาก เวมบลีย์ มีการสร้างใหม่)
• ผ่านช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทำให้ทีมต้องหยุดพักยาวถึง 6 ปีเต็ม

     ด้วยระบบการแข่งขันแบบ “น็อคเอ้าท์” ที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มจัดการแข่งขัน ทำให้ เอฟเอ คัพ กลายเป็น การแข่งขันที่มีการ “ล้มยักษ์” เกิดขึ้นมากมาย หลายครั้ง ทีมจากลีกสูงสุด จบลงด้วยการตกรอบจากทีมในระดับล่าง หรือกระทั่งการได้เห็นทีมในระดับล่าง เข้ามาถึงในรอบท้ายๆ ของการแข่งขัน

     ปัจจุบัน ฟุตบอล เอฟเอ คัพ มีทีมทั้งหมด 762 ทีม และหากคุณคือ สโมสรฟุตบอลระดับล่างสุดของ ฟุตบอล ลีก หากฝันที่จะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ คุณต้องลงเล่นมากถึง 14 รอบแข่งขัน นับตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบแรก ไปจนถึง รอบชิงชนะเลิศ แต่ถ้าคุณลงเล่นในสโมสร พรีเมียร์ ลีก จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วม เอฟเอ คัพ ในรอบ 3 หรือต้องผ่านทั้งหมด 6 รอบเพื่อการคว้าแชมป์ รายการนี้

     “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล คือสโมสร ที่ครองแชมป์ รายการนี้มากที่สุด ที่จำนวน 13 ครั้ง จากจำนวน 139 ครั้งที่จัดการแข่งขันรายการนี้ขึ้นมา โดย อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซนอล เป็นโค้ช ที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุด รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ขณะที่ นักเตะ ที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุด คือ แอชลีย์ โคล ซึ่งคว้าแชมป์รายการนี้ 7 ครั้ง กับ อาร์เซนอล และเชลซี รวมกัน