กลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามกันเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และจะเป็นไปได้หรือไม่ หลังจาก จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานของฟีฟ่า มีการประกาศว่าจะมีการปรับรูปแบบของฟีฟ่า คลับ เวิล์ด คัพ ให้มีขนาดรายการแข่งขันที่ใหญ่ขึ้นกับจำนวนสโมสรเข้าร่วมมากถึง 32 ทีมด้วยกันภายในปี 2025 และแน่นอนแค่พูดแค่นี้ก็มีคำถามแล้วว่า “จะเอาเวลาตรงไหนไปแข่ง” และ “จะเล่นกันอย่างไร” วันนี้เราไปอ่านแนวคิดเบื้องต้นของเขากัน
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือที่เรียกว่า แชมป์สโมสรโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 ผ่านการควบรวมการแข่งขันหลายรายการมารวมกัน มีการปรับลดเวลา จำนวนทีมเพื่อให้เหมาะสมกับกรอบเวลาเพื่อให้สามารถดำเนินการแข่งขันได้ เป็นการนำตัวแทนของเหล่าแชมป์ทวีปทั้งหมด 6 ทวีปประกอบไปด้วย ยุโรป, อเมริกาใต้, เอเชีย, คอนคาเคฟ, แอฟริกา และโอเชเนีย มาลงทำการแข่งขันโดยจะเพิ่มเติมอีกหนึ่งทีม ซึ่งจะเลือกมาจากทีมเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันมาลงเล่นในระบบแพ้ตกรอบ ปัจจุบันลงเล่นกันครบจบทัวร์นาเมนต์ใช้เวลาประมาณ 10 วัน ผู้ชนะก็ได้เป็น “แชมป์โลก” ในระดับสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาก็เล่นกันในช่วงกลางฤดูกาลของลีกยุโรป ดังนั้นหากสโมสรในยุโรปทีมใดได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลต่อมาก็จะมีภารกิจนี้ด้วยเป็นไฟต์บังคับ และ เรอัล มาดริด กำลังจะกลับไปลงเล่นรายการนี้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
การเพิ่มจำนวนทีมที่เข้าร่วมในการชิงแชมป์สโมสรโลกนั้นมีแผนมานานแล้ว และแรกเริ่มจะมีการปรับรูปแบบกันในปี 2021 ด้วยจำนวน 24 ทีมและจะไปแข่งในประเทศจีน อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องชะงักเพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปรับเลื่อนเวลา ก่อนจะมาลงตัวในปี 2025 ซึ่งจะมีทีมเข้าร่วมมากถึง 32 ทีม
“เรื่องของสถานที่จัดการแข่งขันยังจำเป็นต้องมีการพูดคุยกัน แต่มันเป็นข้อตกลงเบื้องต้นกันได้แล้วว่าจะมีการจัดการแข่งขันในรูปแบบทัวร์นาเมนต์เหมือนกับที่เราทำกันในฟุตบอลโลก เราจะลงเล่นกันในแบบทุก 4 ปี และครั้งแรกมันจะเกิดขึ้นในปี 2025” อินฟานติโน่ กล่าว
“สำหรับในช่วงปีอื่น ๆ ที่ไม่มีการจัดการแข่งขันจะเป็นการแข่งขัน คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ ซึ่งก็จะมีการแข่งขันในระบบ 32 ทีมเช่นกัน มันอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ แต่ทุกทีมที่ได้รับเลือกจะเป็นทีมที่ดีที่สุดเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้ ซึ่งในส่วนของรายละเอียดยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาซึ่งเราจะใช้เวลาในอีก 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือนในการประชุมรวมกันกับผู้ถือหุ้นทุกคนในเรื่องนี้”
การกล่าวของ อินฟานติโน่ ในฐานะหัวเรือใหญ่ของฟีฟ่า ส่งผลกระทบและเสียงวิจารณ์มากพอสมควร เพราะฟุตบอลโลกก็จะมีการปรับทีมเป็น 48 ทีมในรอบสุดท้าย ซึ่งก็นั่นหมายความว่าจะมีจำนวนเกมที่มากขึ้นไปอีกในทัวร์นาเมนต์ ซึ่งก็แน่นมากอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก ขณะที่ “แชมป์สโมสรโลก” เป็นหนึ่งในรายการแข่งขันที่ “ไม่ได้” รับการสนใจมากนัก สำหรับระดับสโมสรทั้งในแง่ความสนใจ, ตารางการแข่งขันที่แทรกเข้ามากลางตารางในฤดูกาลแข่งปกติสำหรับทีมในยุโรปไปจนถึงการเดินทางไกลเพื่อไปแข่งขันในประศเจ้าภาพ ในขณะที่ทีมเหล่านั้นกำลังลงเล่นเพื่อลุ้นแชมป์ในบ้านเกิดของตนเอง และพวกเขามีรายการแข่งขันในระดับทวีปของตนเองอยู่แล้ว
พรีเมียร์ ลีก หนึ่งในลีกฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกระบุว่าพวกเขายังไม่ได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการจากฟีฟ่าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ อย่างไรก็ตามพวกเขายืนยันมาตลอดว่าการเปลี่ยนแปลงใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น “ต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลง” ที่จะส่งผลต่อโครงสร้างลีกในประเทศและผู้เล่นทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าการขยับตัวของฟีฟ่าครั้งนี้ ต้องได้รับการเห็นชอบจากพวกเขาและอีกหลายลีกที่จะรวมตัวกันเพื่อปรึกษาและหาข้อสรุปร่วมกันก่อนเป็นอันดับแรก
ฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะจบลง เป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งของฟุตบอลโลกสำหรับแฟนบอลจำนวนมาก โดย อินฟานติโน่ ถึงกับระบุว่าเป็นฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดสำหรับเขา ท่ามกลางปัญหามากมายที่สุดท้ายแม้จะจบลงเรียบร้อย แต่ฟีฟ่าก็ได้บาดแผลและเสียงวิจารณ์เน่าเฟะมากมาย ตั้งแต่การได้มาของเจ้าภาพในปี 2022 จนมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในองค์กร และทำให้การเลือกเจ้าภาพในปี 2030 ยังไม่มีการประกาศจนกว่าจะถึงปี 2024
“ฟุตบอล” เป็นหนึ่งในธุรกิจใหญ่มากของโลกใบนี้ ภายใต้การจัดการขององค์กรใหญ่เพียงสององค์กร แต่ครอบทั้งโลกทั้งในระดับชาติ และระดับสโมสรทั้งหมดเอาไว้ กลายเป็นขั้วอำนาจ “รักกันบ้าง ตีกันบ้าง แต่จะไม่ให้ใครมาแทรกกลางระหว่างเรา”
ที่ผ่านมา ฟีฟ่า กลายเป็นภาพลักษณ์ใหญ่ของฟุตบอลระดับชาติ พวกเขาถือครองสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ขณะที่ ยูฟ่า เป็นผู้ดูแลการจัดการแข่งขันในระดับสโมสรยุโรปที่พวกเขาสร้างแบรนด์อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กลายเป็นเพชรยอดมงกุฏของยุโรป ที่ทั้งหลายทั้งปวงมีรายได้จำนวนมหาศาลอยู่ในนั้น
ความพยายามในการเปลี่ยนรูปแบบของรายการแข่งขันของฟีฟ่าครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่ ยูฟ่า ปรับเปลี่ยนระบบของการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือจากเดิม “แชมป์เท่านั้น” ถึงจะได้สิทธิ์ลงเล่นรายการนี้ กลายมาเป็นวัดจากค่าสัมประสิทธิ์ของลีกแล้วคัดจำนวนทีมแต่ละลีกมาลงเล่น เพื่อให้ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องกันทั้งระบบ หรือกระทั่งจากเดิม ยูฟ่าเคยยกเลิก ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ไปแล้วด้วยเหตุผลว่ามีความซ้ำซ้อนเกินไปกับ ยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก) มาวันนี้พวกเขากลับแตกย่อยออกมาอีกครั้งกับ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในฤดูกาลที่แล้ว และแน่นอนก็จะกลับไปแบบที่ ฟีฟ่า พยายามลดขนาดของรายการแข่งขันให้เล็กลงแบบเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน สุดท้ายตอนนี้พวกเขากลับจะขยายให้มันใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ (ซึ่งจริง ๆ แล้วคิดกันมานานกว่านั้นมาก) โปรเจคต์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ที่นำโดยฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริดเคยสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมให้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ที่สุดท้ายแม้มันจะไม่เกิดขึ้นและมีกระแสตีกลับมากมาย แต่มันก็ทำให้ผู้คนได้ตระหนักบ้างว่า ยูฟ่า กับ ฟีฟ่า กำลังทำอะไรอยู่กับวงการฟุตบอล กับสโมสร กับนักเตะ ที่สโมสรต้องจ่ายค่าแรงมหาศาลในแต่ละสัปดาห์ และทำไมพวกเขาจะเป็นคนจัดการหารายได้เองไม่ได้บ้าง ในเมื่อ “แบรนด์” ของพวกเขาก็แข็งแรงอย่างยิ่งในวันนี้ที่ฟุตบอลเป็นประเด็นสนทนายอดนิยมของคนทั้งโลก
เพราะเมื่อ “ผลิตภัณฑ์” ที่ชื่อว่าฟุตบอลมันขายได้ทั่วโลกใครละจะไม่อยากขาย…ใช่ไหมล่ะครับ