22 ปี ตราไก่ “แชมป์โลก” Part 1
สิ้นเสียงนกหวีดยาว ในวันที่ 12 กรกฎาคม 1998 ที่สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ในกรุงปารีส ทีมชาติฝรั่งเศส กลายเป็นแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ของประเทศ ในบ้านเกิดของตนเอง พร้อมกับการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของคนทั้งชาติ
เรื่องราวของ “ตราไก่ 98” หรือทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์โลก ในปี 1998 กลายเป็น เรื่องราวที่เล่าขานกันไม่รู้จบ เพราะนี่คือ ยุคทองของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสอย่างแท้จริง จนกระทั่งวันนี้ ฝรั่งเศส ยังคงต่อยอดความสำเร็จเมื่อ 22 ปีก่อน จนมาถึงวันนี้ พวกเขาคือ แชมป์โลก ทีมล่าสุด และ คือหนึ่งในมหาอำนาจของวงการฟุตบอล
อย่างไรก็ตาม นักเตะ ตราไก่ชุดแชมป์โลกในครั้งนั้น ไม่ได้มีทุกคน ที่ประสบความสำเร็จนับจากนั้น บางคน กลายเป็น นักเตะ พเนจร ที่ออกเดินทางไปเล่นกับหลายสโมสรนับไม่ถ้วน บางคนหลังจากเลิกเล่นก็ออกจากวงการ ฟุตบอล ไปแบบถาวร และบางคนกลายเป็น ตำนาน นักเตะ ที่ต่อยอดกลายเป็น สุดยอดโค้ช ในวงการฟุตบอล วันนี้เราจะมาดูกันว่า 23 ขุนพลแห่งประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส หลังจากปล่อย ทีเด็ดบอล ด้วยการคว้าแชมป์โลกแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง
ไล่เรียงไปเป็นหมายเลข 1 - 5
หมายเลข 1 : แบร์กนาร์ ลาม่า [ผู้รักษาประตู]
นายทวารระดับตำนานของเปแอสเช หลังการคว้าแชมป์โลก ซึ่งเขาเป็นนายทวารมือสองใน ทัวร์นาเมนต์ ดังกล่าว ลาม่า อยู่กับ เปแอสเช อีกสองฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับ แรนส์ อีกหนึ่งฤดูกาล และตัดสินใจยุติบทบาท นักเตะ อาชีพ ตอนอายุ 38 ปี โดยมีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจเขา นั่นคือความปรารถนาในการลงเล่นฟุตบอลอาชีพ ในบราซิล แต่ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย หลังการเลิกเล่นเขารับงานคุมทีมชาติ เคนย่า ในปี 2006 แต่ก็คุมทีมได้เพียง 2 เดือนกว่าก็ถูกปลดออก นับจากนั้นมา เขาก็ตัดสินใจออกจากวงการฟุตบอล และใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบจนถึงวันนี้
หมายเลข 2 : แวงซองต์ กองเดล่า [กองหลัง]
ในวันที่กลายเป็น แชมป์โลก นั่นคือช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของ แบ็คที่สามารถเล่นได้ทั้งสองฟากฝั่งของสนามคนนี้ เขาลงเล่นกับ โรม่า ซึ่งอีกสองปีต่อมาจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แชมป์อิตาลี ในปี 2000 และแน่นอนรวมถึงแชมป์ยูโร 2000 กับฝรั่งเศสด้วย หลังจากออกจากโรม่าในปี 2005 เขาเคยไปลองเล่นในอังกฤษกับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ก่อนที่จะกับมาเล่นในอิตาลี ทั้งกับ อูดิเนเซ่, เซียน่า และ เมสซิน่า ซึ่งเป็น สโมสรสุดท้ายในการเป็น นักเตะ อาชีพ
หลังการเลิกเล่นเขาเป็นอีกคนที่ไม่เข้าสู่วงการโค้ช แต่เข้าสู่วงการเต้นรำ โดยในปี 2014 เขาเคยไปประกวดเต้น ทางรายการโทรทัศน์มาแล้ว รวมถึงเข้าสู่วงการสื่อมวลชน
หมายเลข 3 : บิเซนเต้ ลิซาราซู [กองหลัง]
นักเตะเชื้อสายบาสก์ ผู้นี้ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครในวันที่เป็น นักเตะ อาชีพ หลังการคว้าแชมป์โลก เขากลายเป็น นักเตะทีมแชมป์บุนเดสลีกามากถึง 6 สมัย กับอีก 1 แชมเปี้ยนส์ลีก กลายเป็นตำนานของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค อย่างสมบูรณ์ และแน่นอนกับทีมชาติฝรั่งเศสด้วย หลังการเลิกเล่นในปี 2006 “ลิซ่า” ให้ความสนใจในกีฬาการต่อสู้อย่าง “ยิว-ยิตสุ” ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของบราซิล และเอาจริงเอาจัง จนถึงขั้นคว้าแชมป์มาแล้ว รวมถึงการเล่น เซิร์ฟ ที่ก็เป็นหนึ่งในกีฬาที่เขาชอบอีกชนิดหนึ่ง ทุกวันนี้ เขายังทำงานในสายสื่อมวลชน รวมถึงเป็น ทูตของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ทีมเก่าของเขาเอง
หมายเลข 4 : ปาทริค วิเอร่า [กองกลาง]
“ปั๊ต” เด็กหนุ่มผู้เป็นเพียงฟันเฟืองชิ้นเล็ก บนความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก เขาได้สัมผัสเกมในฟุตบอลโลก 1998 เพียงไม่กี่นาที แต่ก็มากพอที่จะเรียนรู้ และก้าวมาเป็นยอด นักเตะ ของฝรั่งเศส ในเวลาต่อมา วิเอร่า กลายเป็นตำนานสโมสรอาร์เซนอล คือกัปตันทีมชุด “ไร้พ่าย” กับทีมปืนใหญ่ในฤดูกาล 2003-2004 ก่อนจะตัดสินใจลาทีมไปเล่นในอิตาลีกับ ยูเวนตุส ตามด้วย อินเตอร์ มิลาน ก่อนจะกลับมาเล่นในอังกฤษ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเลิกเล่นที่นั่น ซึ่งเขาก็ไม่รอช้า เข้าสู่วงการโค้ชทันทีด้วยการรับงานกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะ โค้ชทีมเยาวชน ก่อนจะย้ายไปทำงาน ในอเมริกา กับสโมสร นิวยอร์ค ซิตี้ เอฟซี ซึ่งเป็นสโมสรพันธมิตรของทีมเรือใบสีฟ้า และในฤดูกาล 2019-2020 เขากลับมาทำงานในยุโรป อีกครั้ง กับการคุมทีม นีซ สโมสรฟุตบอลในบ้านเกิด
หมายเลข 5 : โลรองต์ บลองก์ [กองหลัง]
กองหลังผู้เป็นตำนานของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส ณ.เวลาแห่งการเป็นแชมป์โลก เขาลงเล่นกับ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ในบ้านเกิด ด้วยวัย 32 ปี ภาพของการ “จูบเหม่ง” ของเขา ที่มีต่อ ฟาเบียน บาร์กเตซ นายทวารของทีม กลายเป็นหนึ่งในภาพจำของคนทั้งโลก เพราะนั่นคือ “นำโชค” ในความเชื่อของเขา หลังการคว้าแชมป์ เขาย้ายไปเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน ก่อนที่จะย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามความปรารถนาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมปีศาจแดง ที่ไม่ปิดบังเลยว่า เขาอยากได้ บลองก์ มาร่วมงานมาตลอด และสุดท้ายแม้ว่า บลองก์ จะอายุมากถึง 35 ปีแล้ว ก็ยังดีใจที่สุดท้ายก็มาร่วมงานกัน โดย บลองก์ เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 37 ปี
หลังการเลิกเล่นเขาเข้าสู่วงการโค้ช เริ่มจาก บอร์กโดซ์ ที่เขาสร้างผลงานพาทีมคว้าแชมป์ลีก เอิง ได้สำเร็จ จนได้รับโอกาสคุมทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่ในเวลาต่อมา ก่อนที่สุดท้ายในปี 2013 เขาจับงานกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จนถึงปี 2016 และออกจากทีม ก่อนที่จะไม่หวนกลับไปรับงานคุมทีมอีกเลย แต่รับงานทางด้านสื่อมวลชน อยู่บ้าง
ตามด้วยหมายเลข 6-8
หมายเลข 6 : ยูริ จอร์เกฟฟ์ [กองกลาง]
“เดอะ สเนค” ขวัญใจแฟนบอล อินเตอร์ มิลาน อีกคนในช่วงทศววรรษที่ 90 เป็นหนึ่งในตัวหลักของการคว้าแชมป์โลก และนั่นคือจุดสูงสุดของเขาในชีวิตการเล่นฟุตบอล เพราะแม้ว่าจะต่อยอดกับทีมชาติด้วยการคว้าแชมป์ ยูโร 2000 ได้ในเวลาต่อมา แต่กับระดับสโมสร จอร์เกฟฟ์ ไม่ได้สวยงามนัก หลังการออกจาก อินเตอร์ มิลาน เขาพเนจนรไปเล่นในเยอรมัน กับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ซึ่งเขามีปัญหากับการปรับตัวในการใช้ชีวิตทีเยอรมัน จนตัดสินใจไปหาความท้าทายในอังกฤษ กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ซึ่งเขาบอกว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกอีกครั้งกับการเล่นฟุตบอล ก่อนที่สุดท้ายจะย้ายไปไกลถึง อเมริกา ด้วยการเล่นกับ นิวยอร์ค เร้ดบูลล์ ในยุคตั้งไข่ของวงการฟุตบอล เมเจอร์ ลีก
หลังการเลิกเล่นฟุตบอล เขาเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้อหลังของวงการฟุตบอล มีการเปิดศูนย์ฝึกฟุตบอลในประเทศ อาร์เมเนีย รวมถึงเคยรับตำแหน่งประธานสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นในลียง บ้านเกิดของเขาด้วย แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือการก่อตั้ง มูลนิธิ ภายใต้ชื่อของเขาเอง กับการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ในกรุง นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา
หมายเลข 7 : ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ [กองกลาง]
“เดเด้” คือกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก และต่อยอดไปจนถึงแชมป์ยูโร 2000 กองกลางตัวรับคนนี้ เป็นหลักให้กับ ยูเวนตุส จนถึงปี 1999 เขาย้ายไปเล่นกับ เชลซี ก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับบาเลนเซีย ในสเปน เป็นการส่งท้ายการเป็น นักเตะ อาชีพ
ในปี 2001 เขาเข้าสู่วงการโค้ชทันที เดส์ชองส์ สนใจงานด้านนี้อย่างมาก และเขาก็สร้างโปรไฟล์ให้ตัวเองกับการพา อาแอส โมนาโก คว้าแชมป์ เฟร้นซ์ ลีก คัพ ตามด้วยพา โมนาโก เป็นรองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2004 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมงานกับ ยูเวนตุส ในยุคที่ทีมตกชั้นไปเล่นใน เซเรีย บี และเขาคือโค้ชที่พาทีมกลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจอำลาทีม เพื่อพักงานระยะหนึ่ง และกลับมาคุมทีม โอลิมปิก มาร์กเซย์ ทีมเก่าของเขาอีกทีมสมัยเป็น นักเตะ ก็พาทีมคว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้สำเร็จ รวมถึงแชมป์ เฟร้นซ์ ลีก คัพ สามสมัยซ้อน ซึ่งนั่นมากพอให้เขาได้งานคุมทีมชาติฝรั่งเศสในปีที่สุด โดยคุมทีมมาตั้งแต่ปี 2012 และ ณ.เวลานี้ ฝรั่งเศสภายใต้การคุมทีมของเขา ผลงานคือ รองแชมป์ยูโร 2016 และ แชมป์โลก 2018 ที่ตอนนี้ ฝรั่งเศส คือประเทศแถวหน้าของวงการฟุตบอลระดับชาติอย่างเต็มตัว
หมายเลข 8 : มาร์กแซล เดอไซญี่ [กองหลัง]
กองหลังที่มีเชื้อสายชาวกาน่าอยู่ในตัว เป็นอีกหนึ่งตัวหลักของทีมชุดแชมป์โลก และลงรับใช้ชาติจนถึงปี 2004 กับการเล่นมากกว่า 100 เกมกับทีมชาติ ทำให้เขากลายเป็น ที่นับถือของคนในวงการฟุตบอล อย่างไรก็ตาม หลังการคว้าแชมป์โลก เขาย้ายไปร่วมงานกับ เชลซี สโมสรในอังกฤษ ที่ใช้เวลานานถึง 6 ปี กับการเล่นที่นั่น ก่อนจะย้ายไปเล่นใน ตะวันออกกลาง กับสโมสร อัล การาฟา และ กาตาร์ เอสซี จนกระทั่งเลิกเล่นในปี 2006
หลังจากเลิกเล่นเคยมีข่าวว่าเขาจะรับงานคุมทีมชาติ กาน่า ก่อนที่จะถอนตัวในการทำงานนั้น และเข้าสู่วงการสื่อมวลชน ซึ่งเขารับงานกับทาง บีบีซี รวมถึงยังมีงานด้านการกุศล กับองค์กร ยูนิเซฟ อีกด้วย
ตามด้วย หมายเลข 9-11
หมายเลข 9 : สเตฟาน กิวาร์ซ [กองหน้า]
หลังจากประสบความสำเร็จในเรื่องของผลงานส่วนตัวกับ โอแซร์ ด้วยการยิงประตูเป็นว่าเล่น ส่งผลให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติ ชุดฟุตบอลโลก 1998 กิวาร์ซ มาพร้อมกับความคาดหวังที่สุดท้ายต้องผิดหวัง เมื่อเขาลงเล่นในช่วงแรกของทัวร์นาเมนต์ ก่อนที่จะหลุดจากทีมเมื่อโชว์ฟอร์มไม่ออก แต่ก็กลายเป็นแชมป์โลกในเวลาต่อมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ “ขาลง” ของเขากับวงการฟุตบอล
กิวาร์ซ ย้ายไปเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หลังการคว้าแชมป์โลก ซึ่งเขาปรับตัวไม่ได้เลยลงเล่นเพียง 4 เกมเท่านั้น ก็ถูกขายต่อไปให้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสกอตแลนด์ และเล่นกันเพียงหนึ่งฤดูกาล เขาก็เลือกกกลับไปเล่นกับ โอแซร์ อีกครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะลงเล่นกับ กองแกงต์ และเลิกเล่นที่นั่นในปี 2002
กิวาร์ซ ออกจากวงการฟุตบอลหลังจากเลิกเล่น เขากลับไปยังเมือง คอนคาร์นัวร์ บ้านเกิดของเขา อยู่กับครอบครัวที่เขามีลูกสามคน และทำงานเป็น พนักงานขายสระว่ายน้ำ ซึ่งเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย เป็นหนึ่งในนักเตะ แชมป์โลก ที่เรื่องราวของเขาเงียบ และเรียบง่าย ที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้
หมายเลข 10 : ซีเนอดีน ซีดาน [กองกลาง]
การคว้าแชมป์โลก คือการการันตีถึง ยุคสมัยของกองกลางผมบางคนนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว “ซิซู” กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เขากลายเป็น นักเตะ ฝรั่งเศส ที่ได้รับการจารึกว่ามีค่าตัวแพงที่สุดในโลก เมื่อย้ายไปร่วมงานกับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ ในปี 2001 พร้อมกับสร้างผลงานได้อย่างสุดยอดตลอด 5 ฤดูกาลสุดท้ายของเขาในฐานะ นักเตะ อาชีพ และ เรอัล มาดริด บทสรุปการเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพของเขาคือการ โดนใบแดง ไล่ออก ในเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ที่ยังคงเป็นเรื่องราวแห่งความทรงจำจนถึงวันนี้
หลังการเลิกเล่นฟุตบอล เขาเริ่มต้นการทำงานโค้ช กับเรอัล มาดริดในปี 2014 ในฐานะโค้ชทีมเยาวชน ก่อนจะขึ้นมารับงานคุมทีมชุดใหญ่ในปี 2016 และสร้างประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งกับการเป็นทีมแรกที่สามารถคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึงสามสมัยติดต่อกัน ก่อนที่จะพักงานไปครึ่งฤดูกาล ก่อนจะกลับมาคุมทีม เรอัล มาดริด อีกครั้ง และจบฤดูกาลที่แล้วด้วยการเป็น แชมป์ ลา ลีกา ซึ่งเป็นสมัยที่สองในฐานะผู้จัดการทีมของเขา
หมายเลข 11 : โรแบร์ ปิแรส [กองกลาง]
ปีกที่โดดเด่นกับสโมสรเมตซ์ หลังการคว้าแชมป์โลก เขาเลือกย้ายไปเล่นกับ มาร์กเซย์ ทีมรักของเขาในวัยเด็ก ก่อนที่จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากจากผลงานที่ตกต่ำของ “โอแอม” และสุดท้ายเขาย้ายมาร่วมงานกับ อาร์เซนอล ซึ่งมี อาร์แซน เวนเกอร์ โค้ชชาวฝรั่งเศส ที่อยากได้ตัวเขามาร่วมงานด้วย ซึ่งการย้ายทีมครั้งนั้น ทำให้ ปิแรส ยกระดับกลายเป็น นักเตะ แถวหน้าของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก ตลอด 6 ฤดูกาลที่นั่น และขึ้นชั้นกลายเป็นตำนานของสโมสร ก่อนจะย้ายไปเล่นในสเปน กับ บียาร์เรอัล ตามด้วย แอสตัน วิลล่า และ เอฟซี โกอะ ทีมในอินเดีย อีกเล็กน้อย
หลังการเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ปิแรส มักปรากฎตัวอยู่ในสนามซ้อมของอาร์เซนอล ซึ่งเขาได้รับอนุญาตจากสโมสร และโค้ชของทีมทุกยุค ไม่ว่าจะเป็น เวนเกอร์, อูไน อเมรี่ หรือว่า มิเคล อาร์เตต้า ในการที่จะเข้ามาลงซ้อมกับทีมได้ตามต้องการ นอกจากนี้เขายังเป็น แอมบาสเดอร์ให้กับ ลา ลีกา ในฐานะ นักเตะชั้นนำที่เคยมาลงเล่นในลีก กระทิงดุมาแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป