ฟุตบอลโลก มหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเกมการแข่งขันระดับชาติที่ไม่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่จะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว นักเตะหลายล้านคน ฝันถึงการลงเล่นในฟุตบอลโลกสักครั้งหนึ่งในชีวิต และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ผ่านทัวร์นาเมนต์นี้มากกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ที่ได้รับการระบุว่า ผ่านเกม “รอบชิงชนะเลิศ” ฟุตบอลโลกมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีสถิติหนึ่งที่มีการระบุเอาไว้ว่า ตลอดการกำเนิดของ ฟุตบอลโลก ตั้งแต่ปี 1930 จนถึงวันนี้ครบ 90 ปีเต็ม มี นักเตะ เพียง 5 คนเท่านั้น ที่ต้องมีความทรงจำว่า ตนเองโดนไล่ออกในเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกมหนึ่งในชีวิตของตนเอง
บางคนคือเกมสุดท้ายของชีวิต บางคนคือเกมเดียวในชีวิตการเป็น นักเตะ และอีกหลายคนคือความทรงจำที่แสนเจ็บปวด ว่าแล้วไปดูกันเลย
เปโดร มอนซอน [ฟุตบอลโลก 1990 อาร์เจนติน่า พบ เยอรมันตะวันตก]
กองหลังจาก อินดิเพนเดนเต้ ในเวลานั้น กลายเป็น นักเตะ คนแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก ที่โดนใบแดงไล่ออกในเกมรอบชิงชนะเลิศ จากจังหวะการที่เขา เสียบสกัดรุนแรงใส่ เยอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กองหน้าเยอรมัน ลงไปกองกับพื้น ในนาทีที่ 65 และเป็นใบแดงโดยตรงทันที โดยมอนซอน นอกจากจะเป็นคนแรกที่โดนใบแดงแล้ว เขายังคงเป็น คนเดียวในจำนวนทั้งหมด 5 คน ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง และโดนใบแดงในรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย โดยลงมาแทน ออสการ์ รุจเจรี่ ในช่วงเริ่มต้นครึ่งหลัง อย่างไรก็ตามก็มีการวิจารณ์กันมากมายว่าจังหวะดังกล่าว “ฉลามขาว” ออกอาการพุ่งมากเกินกว่าเหตุด้วยเช่นกัน
กุสตาโว่ เดซอตติ [ฟุตบอลโลก 1990 อาร์เจนติน่า พบ เยอรมันตะวันตก]
ฟุตบอลโลก 1990 กลายเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่มีถึงสองใบแดง ในเกมรอบชิงชนะเลิศ แทนที่ของ เคลาดิโอ คานิกเกีย ที่มีปัญหาบาดเจ็บ พลาดเกมรอบชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย โดย เดซอตติ ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวหลายเกม ในฐานะตัวสำรอง และมาแจคพอตได้ลงตัวจริงในเกมสำคัญที่สุดของทัวร์นาเมนต์
เดซอตติ เวลานั้นเพิ่งย้ายมาเล่นในอิตาลี กับสโมสร เกรโมเนเซ่ และผลงานค่อนข้างดีทำให้เขาติดทีมชาติมาเล่นในฟุตบอลโลก 1990 โดยจังหวะใบแดงของเขา เกิดขึ้นหลังจากที่ เยอรมันตะวันตก ได้ประตูนำจากจุดโทษในช่วงท้ายเกม ซึ่งแน่นอนว่า ทีมออกนำในช่วงที่กำลังจะหมดเวลาก็ย่อมมีแท็กติกการดึงเวลา เยอร์เก้น โคห์เลอร์ แนวรับอินทรีเหล็ก พยายามดึงเวลาด้วยการให้บอลคืนกลับไปยังอาร์เจนติน่า ช้าลง ทำให้ เดซอตติ ไม่พอใจเข้าไปแย่งบอล และจบลงด้วยการเตะเข้าไปหนึ่งที กรรมการก็ไม่รอช้าให้ใบเหลืองที่สองเป็นใบแดง ให้กับเขาไปด้วยอีกคน จบเกมนั้น อาร์เจนติน่า มี 9 คน ในสนามรอบชิงชนะเลิศ แต่ชาวอาร์เจนติน่าร้องไห้หลายล้านคน กับความผิดหวังครั้งใหญ่
มาร์กแซล เดอไซญี่ (ฟุตบอลโลก 1998 ฝรั่งเศส พบ บราซิล)
ก่อนเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้น หลายฝ่ายก็มองว่า บราซิล มีโอกาสไม่น้อยที่จะป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ เมื่อพวกเขามี โรนัลโด้ ยอดดาวยิงแห่งยุคอยู่ในทีม แต่วินาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่า “R9” มีอาการป่วย และไม่สมบูรณ์ 100 % ก่อนเกมนั้นจะเริ่มขึ้น
ฝรั่งเศสโชว์ฟอร์มอย่างสุดยอด โดยเฉพา ซีเนอดีน ซีดาน ที่ร่ายมนต์ด้วยลีลาอันยอดเยี่ยม แถมด้วยการโหม่งคนเดียวสองประตูให้ ฝรั่งเศสนำไปก่อนในครึ่งแรก 2-0 อย่างไรก็ตามในช่วงกลางครึ่งหลัง มาร์กแซล เดอไซญี่ ซึ่งเวลานั้นลงเล่นกับ เอซี มิลาน ก็กลัวเกมไม่ลุ้น เมื่อเขาพลาดเข้าบอลช้าใส่ มาร์กอส คาฟู กลายเป็นใบเหลืองที่สองเป็นใบแดง ไล่ออกจากสนาม แต่สุดท้าย 22 นาทีสุดท้ายของเกม ฝรั่งเศสเกมรับแน่นหนา เกมรุกรอสวนกลับ และพวกเขาก็ทำได้อีกหนึ่งประตูจาก เอมมานูเอล เปอตีต์ เป็นการคว้าแชมป์โลกครั้งแรกของประเทศ อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะของเจ้าภาพ และยุคทองของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น นับจากนั้น
ทั้งนี้ เดอไซญี่ คือ นักเตะที่โดนใบแดงเพียงคนเดียวในรอบชิงชนะเลิศ แต่ยังได้ฉลองแชมป์โลกส่วนที่เหลือชอกช้ำกันทุกคน
ซีเนอดีน ซีดาน (ฟุตบอลโลก 2006 ฝรั่งเศส พบ อิตาลี)
ใบแดงในรอบชิงชนะเลิศที่ดังที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก เพราะมันคือใบแดงด้วยการฟาลว์ที่ “สะท้านโลก” ครั้งหนึ่ง จาก นักเตะ ที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เขาพาฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลก และครั้งนี้เขาคือ “เดอะแบก” ของตราไก่อย่างแท้จริงในรอบชิงชนะเลิศ
ซีดาน ประกาศชัดเจนตั้งแต่ต้นฤดูกาล 2005-2006 แล้วว่านี่คือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในชีวิตการเป็น นักเตะ อาชีพ และฟุตบอลโลก 2006 จะเป็นทัวร์นาเมนต์สั่งลาของเขาในการเป็นนักเตะด้วย “ไปให้ไกลที่สุด เพราะเกมสุดท้ายเกมขึ้นได้ทุกเมื่อ” และมันดันเกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศกับ อิตาลี ซึ่ง ซีดาน ยิงประตูในเกมนั้นให้ทีมออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่จะโดนตีเสมอ และจบลงด้วยการต่อเวลาพิเศษ
นาทีที่ 110 ของเกมการแข่งขัน ซีดาน ซึ่งถูกประกบโดย มาร์โก มาเตรัซซี่ มาตลอดเกม ก็มีการต่อปากต่อคำกัน จนสุดท้าย ซีดาน เกิดอาการฟิวส์ขาด ตัดสินใจ “เฮดบัตต์” ใส่หน้าอกของ มาเตรัซซี่ เต็มแรงลงไปกองกับพื้น กรรมการซึ่งในตอนแรกไม่เห็นเหตุการณ์ ได้ทำการปรึกษาทีมงาน และผู้ตัดสินที่ 4 ที่เห็นเหตุการณ์ ก่อนตัดสินใจให้ใบแดงกับ ซีดาน ในเกมสุดท้ายของชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพของเขา เกมที่ 108 ในนามทีมชาติ พร้อมกับภาพที่เขา เดินออกจากสนามผ่านถ้วยแชมป์โลก ยังเป็นภาพคลาสสิกภาพหนึ่งของวงการฟุตบอล
ฝรั่งเศสพ่ายอิตาลีกในการดวลจุดโทษตัดสิน หลังเสมอกัน 120 นาทีเต็มได้ฉลองแชมป์โลกอย่างเต็มคราบ ส่วนเรื่องราวของซีดานมีการเปิดเผยกันอย่างกว้างขวางเกี่ยกับสาเหตุการตัดสินใจในครั้งนั้น โดย มาเตรัซซี่ เองได้ออกมายอมรับว่า เขาได้ทำการพูดจาลามปามไปถึงพี่สาวของซีดาน หลังจากที่ทั้งสองปะทะคารม และปะทะกันในสนามหลายรอบก่อนหน้านี้นั่นเอง เรียกว่าเถียงกันไปมา อัดกันไปมา สุดท้ายแล้ว ซีดาน ทนไม่ได้นั่นเอง
ซีดานกลายเป็นหนึ่งในสองนักเตะที่โดนใบแดงในฟุตบอลโลกถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1998 ขณะที่นักเตะอีกคนคือ ริโกแบร์ ซง กองหลังทีมชาติแคเมอรูน
จอห์น ไฮติงก้า (ฟุตบอลโลก 2010 เนเธอร์แลนด์ พบ สเปน)
สองชาติที่ยังไม่เคยได้แชมป์โลกมาก่อน มาเจอกันในฟุตบอลโลก ครั้งที่ต้องบอกว่า “หนวกหูที่สุด” ครั้งหนึ่ง กับเครื่องเป่า “วูวูเซล่า” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีท้องถิ่นของ แอฟริกาใต้ เจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนั้น ในเกมที่ต้องบอกว่า เนเธอร์แลนด์ ลงเล่นในแบบที่ โยฮัน ครอยซ์ เรียกว่า “แอนตี้ฟุตบอล” เข้าห้ำหั่นกับสเปน ที่อยู่ในช่วงยุครุ่งเรืองกับ “ติกิ-ตาก้า” การเล่นบอลสั้นที่เรียกว่า สเปน ชุดนั้นโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างสุดยอด
เกมนั้นมีชอตแห่งความทรงจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “กังฟูคิก”กระโดดถีบยอดอกของ ไนเจล เดอ ยองก์ ใส่ ชาบี อลอนโซ่ ซึ่งได้แค่ใบเหลืองเท่านั้น รวมถึงจังหวะหลุดเดี่ยวของ อาร์เยน ร็อบเบน ที่ยิงไม่ผ่าน “เท้า” ของ อิเคร์ คาซิยาส ทำให้ เนเธอร์แลนด์ พลาดขึ้นนำในเกมนั้น ก่อนที่เกมนั้นจะกลายเป็นอีกเกมที่ต้องต่อเวลาพิเศษ
เกมเข้าสู่นาทีที่ 109 ไฮติงก้า ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของเกม เมื่อ เนเธอร์แลนด์ ที่ล้าถึงขีดสุด พลาดท่าปล่อยให้ สเปนหลุดเข้ามาถึงหน้าเขตโทษ ก่อนที่ ไฮติงก้า จะตัดสินใจตัดเกม อันเดรียส อิเนียสต้า หน้าเขตโทษ และกลายเป็นใบเหลืองที่สอง กลายเป็นใบแดงของเขา ก่อนที่ อิเนียสต้า คนเดิมจะกลายเป็น ฮีโร่ของสเปน ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา กับการยิงประตูในชัยชนะ 1-0 ในเกมนั้น
ไฮติงก้า ยอมรับหลังเกมว่าเขาผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษใครทั้งสิ้น และยังมองว่าการเล่นฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ ยังคงเป็นเกียรติยศของตนเองอย่างหนึ่ง และเขาไม่เคยแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ เพราะตอนโดนไล่ออกเกมยังคงเสมอกัน 0-0…ก็ว่ากันไปนะจอห์น!!