9 ดีลสุดแพงกับ ชุดแข่งฟุตบอล
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ฟุตบอล กลายเป็นกีฬายอดนิยม อันดับหนึ่งของโลก และแน่นอน เมื่อมันมีความนิยม เรื่องราวของธุรกิจ ก็เริ่มต้นขึ้น หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ “ชุดแข่งขัน” ที่เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก
จากจุดเริ่มต้น การมีชุดแข่งขัน ที่เอาไว้เพื่อสำหรับการแบ่งแยก ว่าอยู่ทีมไหน และทำให้สี มีความแตกต่างกัน เพราะสมัยก่อนในยุคแรก เริ่มของการมี โทรทัศน์ และการถ่ายทอดสด ทั้งหมดเกิดจากการรับชมผ่านจอ “ขาว-ดำ” เท่านั้น ดังนั้น การใช้สีเสื้อที่แตกต่างกัน ก็เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านได้เห็นถึงความแตกต่าง และดูได้ง่ายขึ้นนั่นอง
ต่อมา เสื้อฟุตบอล ก็มีการการติดหมายเลขเสื้อ เอาไว้ด้านหลังเสื้อ เพื่อให้ กรรมการช่วยในการแยกแยะนักเตะ แต่ละคนในสนามได้ง่ายขึ้น
การตลาด ครั้งสำคัญของวงการฟุตบอล
ต่อมาในต้นทศวรรษที่ 90 เริ่มต้นการมีการ ติดชื่อของผู้เล่น เอาไว้บนเสื้อ รวมถึงการกำหนดหมายเลขเสื้อ ของแต่ละบุคคล ในแต่ละฤดูกาล ให้ชัดเจน แทนที่จากเดิม ลงเล่นตัวจริงก็รับเสื้อหมายเลข 1-11 เท่านั้น สำรองหมายเลข 12-13-14 เป็นต้น
มาถึงวันนี้ เรื่องราวเหล่านั้น กลายเป็น การตลาด ครั้งสำคัญของวงการฟุตบอล รวมถึงเรื่องหลักของวันนี้ คือ “ผู้ผลิตเสื้อแข่งขัน” กับ 9 ดีล สุดแพงของวงการฟุตบอล กับเสื้อแข่งของพวกเขา มีทีมไหนกันบ้าง
- บาร์เซโลน่า : “อาซูลกราน่า” ร่วมงานกับ ไนกี้ มาตั้งแต่ปี 1998 เพิ่งฉลองครบ 20 ปีแห่งการทำงานร่วมกันไปเมื่อปี 2018 พร้อมกับการเซ็นสัญญาครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อพวกเขาเซ็นสัญญากันยาวนาน 10 ปีจนถึงปี 2028 ด้วยสัญญามูลค่าปีละ 100 ล้านปอนด์ รวมเบ็ดเสร็จก็ 1,000 ล้านปอนด์ แลกกับการที่ บาร์ซ่า จะได้ฉลองครบ 30 ปี การร่วมงานกันระหว่างทั้งสองแบรนด์
- เรอัล มาดริด : “โลส บลังโกส” ราชันแห่งสเปน เคยเป็นเจ้าของสถิติ ได้รายได้จากสปอนเซอร์ชุดแข่งแพงที่สุดในโลก กับค่ายสัญญาเยอรมันอย่าง อาดิดาส โดยพวกเขาเซ็นสัญญารอบล่าสุดกันตั้งแต่ปี 2015 และเซ็นยาวจนถึง 2025 รับสัญญาเน้นๆ ละ 98 ล้านปอนด์ รวม 980 ล้านปอนด์ และแน่นอนว่า ครั้งต่อไป มันจะแพงยิ่งกว่านี้อีกแน่นอน เพราะแชมป์แน่นเหลือเกิน
- ลิเวอร์พูล : “หงส์แดง” ขวัญใจมหาชนชาวไทย แชมป์ลีกปีที่ล่าสุด บอกลา นิว บาลานซ์ เรียบร้อย พร้อมซบอกไนกี้ ที่เซ็นสัญญากัน 5 ปี รับไปปีละ 80 ล้านปอนด์ เน้นๆ เนื้อๆ และยอดขายปีหน้าถล่มทลายแน่นอน ในฐานะเสื้อที่จะได้ติด “อาร์ททอง”ในฐานะแชมป์พรีเมียร์ ลีก เป็นตัวแรกในประวัติศาสตร์ สโมสร
- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : “ปีศาจแดง” เซ็น 10 ปี กับ อาดิดาส ในปี 2015 รอบเดียวกับ เรอัล มาดริด แต่พวกเขาผลงานไม่ค่อยสวยเท่าไร นับจากการลงตำแหน่งของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเขาได้สัญญา 10 ปี 750ล้านปอนด์ ถือว่าไม่มากไม่น้อย แต่ก็แน่นอนว่า ชื่อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงขายได้เสมอ และยากที่ อาดิดาส จะปล่อยให้หลุดมือไป
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : “เรือใบสีฟ้า” ฉลองครบรอบ 125 ปี ของสโมสรไปด้วย การเปลี่ยนแบรนด์ใหม่มาเป็น พูม่า กับสัญญา 10 ปี 650 ล้านปอนด์ ถือว่าไม่สูงมากนัก เพราะเซ็นสัญญากันในปี 2019 ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฐานแฟนบอล ในระดับโลก ยังไม่มากเท่ากับ อีกหลายทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และทำตลาดไปแล้วทั่วโลก ดังนั้น งานของ เรือใบสีฟ้า คือการขยายฐานแฟนบอลให้มากขึ้นนอกประเทศอังกฤษ และคงจะมีมากขึ้นอีกเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
- อาร์เซนอล : “ปืนใหญ่” กลับมาร่วมงานกับ อาดิดาส อีกครั้งนับจากปี 1994 พวกเขาได้สัญญา 5 ปี มูลค่า 300 ล้านปอนด์ แม้ฐานแฟนบอลจะไม่น้อยหน้าใคร แต่ผลงานของ เดอะ กันเนอร์ส ไม่สวยเท่าไรนัก ส่งผลต่อมูลค่าการตลาดโดยตรง และนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขา ต้องเร่งสร้างให้กลับมาดังเดิม
- เชลซี : “สิงโตน้ำเงินคราม” เป็นการเซ็นสัญญาที่ยาวนานที่สุด ดีลหนึ่งของวงการ เมื่อพวกเขาเซ็นสัญญากันในปี 2017 ด้วยระยะเวลานานถึง 15 ปี จนถึงปี 2032 หลังจาก อำลาจาก อาดิดาส มาร่วมงานกับ ไนกี้ ด้วยจำนวนเงิน 900 ล้านปอนด์ ตกปีละ 60 ล้านปอนด์
- ยูเวนตุส “เบียงโคเนรี่” ยูเวนตุส แชมป์ 8 สมัยติดของ เซเรีย อา กลายเป็นหนึ่งเดียว จาก อิตาลี และเป็นสโมสรใน แดน มักกะโรนี ที่ได้ค่าสัญญาชุดแข่งแพงที่สุด โดยรับอยู่ที่ 46 ล้านปอนด์ ต่อไป รวม 368 ล้านปอนด์ กับสัญญาจำนวน 8 ปีด้วยกัน จากค่าย อาดิดาส และมันก็ขายดีมากหลังการต่อสัญญา เมื่อมี นักเตะ ชื่อว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาร่วมทีมด้วย
- บาเยิร์น มิวนิค “เสือใต้” โคตรทีมจาก เยอรมัน ต่อสัญญากับ อาดิดาส แบรนด์บ้านเดียวกันอีก 15 ปี ด้วยสัญญารวม 637 ล้านปอนด์ เฉลี่ยปีละ 5 ล้านปอนด์ โดยพวกเขา มีความผูกพันกันมาอย่างยาวนานมากกว่า 50 ปีแล้ว นั่นเอง