2 กรกฎาคม 2021 หากวันนี้ อันเดรส เอสโคบาร์ (แบ็คขวา; แอตเลติโก นาซิอองนาล) มีชีวิตอยู่เขาจะมีอายุครบ 54 ปีในวันนี้ เว็บไซต์ หรือ ทวิตเตอร์ของสมาคมฟุตบอลโคลอมเบีย อาจจะทวีตข้อความอวยพรวันเกิดให้กับเขา ในฐานะของ นักเตะ ที่รับใช้ชาติมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รักของทุกคน เพราะ ณ เวลานั้นเขาลงเล่นไปแล้วถึง 51 เกมด้วยกัน และยังน่าจะลงรับใช้ชาติยาวนานอีกหลายปี
หากแต่ในวันนี้เมื่อ 27 ปีที่แล้ว เอสโคบาร์ (ผู้ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับ ปาโบล เอสโคบาร์ พ่อค้ายาเสพติดของโคลอมเบีย โดยปาโบล เสียชีวิตในเดือนธันวาคม 1993) เสียชีวิตจากการถูกสังหารด้วยอาวุธปืนในวันนี้ ที่เมือง เมเดยิน บ้านเกิดของเขาในประเทศ โคลอมเบีย
ชนวนเหตุที่ชัดเจนคือ ความผิดพลาดของ เอสโคบาร์ ในเกมที่ โคลอมเบีย พบกับ สหรัฐอเมริกา ในฟุตบอลโลก 1994 รอบสุดท้าย เมื่อ เอสโคบาร์ ทำพลาดสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ในเกมนั้น เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้ว โคลอมเบีย แพ้ในเกมนั้น 2-1 และต้องตกรอบแรกทันที
โคลอมเบีย เข้ารอบมาเล่นในฟุตบอลโลก 1994 ด้วยผลงานไร้พ่ายในรอบคัดเลือก พวกเขามีเกมที่น่าจดจำในการเอาชนะ อาร์เจนติน่า 5-0 และแน่นอนสื่อมวลชนอวยกันยกใหญ่ คนในวงการฟุตบอล ต่างประเมินว่า โคลอมเบีย มีลุ้นไปได้ไกลในฟุตบอลโลกครั้งนี้ รวมถึง เปเล่ ที่มองว่าทีมชุดนี้ซึ่งมีชื่อของ คาร์ลอส วันเดอร์ราม่า, อัลโดโฟ่ บาเลนเซีย, เฟรดดี้ รินคอน หรือว่า ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า อยู่ในทีมมีลุ้นถึงแชมป์โลกกับเขาด้วย
“ฟุตบอลลูกกลม ๆ มีลมอยู่ข้างใน อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ไม่เว้นกระทั่งกับ โคลอมเบีย”
ความพ่ายแพ้ของพวกเขา อับอาย น่าผิดหวัง แต่คนที่โดนพุ่งเป้าไปมากที่สุด คือ เอสโคบาร์ โทษฐานทำพลาดเสียประตูในเกมสำคัญ ความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด กลายเป็นประเด็น “บาป” ที่มี “บางคน”มองเขาคือคนผิดคนเดียว ทั้งที่ฟุตบอลเล่นกัน 11 คน
โคลอมเบีย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ยาเสพติด และอาชญากรรมมากที่สุดประเทศหนึ่ง และความรุนแรงมักมาพร้อมกับความไม่พอใจ และการตกรอบฟุตบอลโลกครั้งนั้น คือหนึ่งในความไม่พอใจ ที่ทำให้ นักเตะ โคลอมเบีย หลายคนเลือกจะยังไม่กลับโคลอมเบีย ในทันที เพื่อไม่ต้องการเจอกับอารมณ์คุกรุ่นแห่งความผิดหวังเหล่านั้น แต่ไม่ใช่กับ เอสโคบาร์ เขาเลือกกลับบ้าน เพราะเขาไม่คิดว่า ชีวิตของเขาจะจบลงเพียงเท่านี้
ชีวิตของเขามีแบบแผนที่ชัดเจน กลับบ้านพักผ่อนจากเกมทีมชาติ เตรียมรายงานตัวกับสโมสร แอตเลติโก นาซิอองนาล และเมื่อเกมทีมชาติมาถึง เขาพร้อมลงเล่นรับใช้ชาติของเขาต่อไป โดย ณ เวลานั้นเขามีข่าวได้รับข้อเสนอจากสโมสรในยุโรปแล้วด้วย หนึ่งในนั้นคือ เอซี มิลาน จาก อิตาลี ส่วนชีวิตนอกสนามเขามีแผนจะแต่งงาน
หนึ่งสัปดาห์ หลังจากจบสิ้นภารกิจฟุตบอลโลก เอสโคบาร์อยู่ในเมือง เมเดยิน บ้านเกิด ตามที่ตั้งใจไว้ เขาออกไปท่องเที่ยวใน ไนต์คลับ กับเพื่อนสนิท ซึ่งไนท์ คลับที่ชื่อว่า El Indio คือสถานที่สุดท้ายของเขาในชีวิต
ระหว่างการเต้นรำอย่างสนุกสนาน เขาเริ่มถูกบางคนคุกคาม และตะโกนด่าทอเกี่ยวกับการทำเข้าประตูตัวเองของเขาในฟุตบอลโลก แม้เขาจะอดทน และปล่อยผ่านแต่สุดท้ายเรื่องก็ยังเกิดขึ้นจนได้
ตามรายงานข่าวระบุว่า เวลา 03.00 น. ของวันที่ 2 กรกฎาคม 1994 อันเดรส เอสโคบาร์ มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับ เปโดร และ ฆวน กัลล่อน ซึ่งเป็นพ่อค้ายาเสพติด เกี่ยวกับประเด็นการทำเข้าประตูตัวเอง โดยมีการด่าทอ เอสโคบาร์ อย่างรุนแรง และมันจบลงด้วยความตาย ด้วยกระสุนปืน ในรถส่วนตัวของเขาเอง
“ไม่มีความจริงใดที่แน่ชัด” แต่ทุกอย่างจบลงด้วยการจับกุม ฮุมแบร์โต้ คาสโตร มูนยอซ ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของพี่น้องตระกูล กัลล่อน ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้ลั่นไกสังหารเอสโคบาร์ ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความไม่พอใจที่ เอสโคบาร์ มีส่วนสำคัญทำให้ โคลอมเบีย ตกรอบฟุตบอลโลก 1994 แต่ก็มีผู้คนเชื่อ และคิดว่า “เรื่องจริง” มาจากการสั่งการของพี่น้องกัลล่อน ให้ลูกน้องทำการสังหารโหดนักเตะทีมชาติโคลอมเบียผู้นี้ ไม่ว่าจะด้วยความไม่พอใจในผลการแข่งขัน, การทะเลาะเบาะแว้ง หรือว่าจะเรื่องของ การพนันฟุตบอล
ศาล ตัดสินจำคุก ฮุมแบร์โต้ คาสโตร มูนยอซ ในข้อหาเป็นผู้ลงมือสังหาร ด้วยโทษจำคุก 43 ปี พร้อมโทษปรับอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนพี่น้องกัลล่อน ถูกจำคุกในบ้านของตนเองเป็นเวลา 15 เดือน พร้อมโทษปรับอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนที่สุดท้าย ฮุมแบร์โต้ คาสโตร มูนยอซ จะรับโทษจริงเพียง 11 ปีเท่านั้น
นี่คือบทสรุปของผู้สั่ง และผู้ปลิดชีวิตคนหนึ่งคน ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมกับครอบครัวที่ต้องเสียคนเป็นที่รักตลอดกาล
ทุกวันนี้ โคลอมเบีย มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม ปัญหาเรื่องของยาเสพติด ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายอย่างหนักตลอดหลายทศวรรษเบาบางลงไปแล้ว เช่นเดียวกับพ่อค้ายาเสพติดหลายต่อหลายราย บ้างก็จากตาย บ้างก็อยู่ชดใช้กรรม บ้างก็ลี้ภัยไปอยู่ต่างแดน ทั้งหมดต่างกรรมต่างวาระ กับการต่อสู้ และกวาดล้างอย่างหนัก ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรัฐบาลของประเทศ
อันเดรส เอสโคบาร์ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสุภาพบุรุษผู้เคราะห์ร้าย ต่อความเน่าเฟะของประเทศโคลอมเบีย ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนตราบจนถึงทุกวันนี้ และมีการสร้างอนุสาวรีย์ของเขาอยู่ในเมือง เมเดยิน บ้านเกิดของเขาเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการระลึกถึง “El Caballero del Fútbol” [สุภาพบุรุษลูกหนัง] ของพวกเขาที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร