วินาทีที่ บูคาโย่ ซาก้า (19 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) ยิงจุดโทษไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารทีมชาติอิตาลี จุดเริ่มต้นแห่งงานเฉลิมฉลอง และความผิดหวัง ก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
อิตาลี คว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาไม่แพ้ใครมาอย่างยาวนานจนถึงวันที่ได้แชมป์ยุโรป ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพ่ายคือเกมในวันที่ 10 กันยายน 2018 ในเกมพบกับ โปรตุเกส นับจากนั้นพวกเขาไม่แพ้ใครเลย และขอแสดงความยินดีกับพวกเขากับฟอร์มอันยอดเยี่ยม และความเฉียบขาดในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของทั้ง นักเตะ และ นายทวาร
บรรยากาศการเฉลิมฉลองรอบกรุงลอนดอน เต็มไปด้วยความคึกคัก ธงชาติอิตาลีโบกสะบัดไปทั่วกรุงลอนดอน เรียกว่าแชมป์คราวนี้มาสอยเอากลับไปถึง “บ้าน” กลับไปยังกรุงโรม และแน่นอนมันก็มาพร้อมกับปัญหาทะเลาะวิวาทหลายจุดหลังจบเกม ตามคลิปต่าง ๆ ที่ออกในโลกออนไลน์รวมถึงการ “เย้ย” และ “ผิดหวัง” ของจากทั้งสองชาติ
อารมณ์ที่พุ่งพล่านบนความดีใจ และเสียใจ แปรเปลี่ยนให้คนกลายเป็นเครื่องจักรแห่งการบูลลี่ให้เจ็บปวด และเครื่องจักรแห่งการต่อสู้ได้ในเวลาเดียวกัน หากใครดูภาพยนตร์เรื่อง Inside Out น่าจะเห็นภาพมากขึ้น ว่าภายในใจคนเราจะเป็นอย่างไร
สำหรับ ผู้ชนะ มันคงหอมหวานและดำรงอยู่อีกสักพักใหญ่อย่างน้อยจนกว่า ฟุตบอลลีก จะกลับมาลงแข่งขันอีกครั้ง แต่บอกได้เลยว่าสำหรับ ผู้แพ้ การก้าวข้ามมันแต่ละวันมันจะยากยิ่งกว่าอย่างแน่นอน
ทีมชาติ อังกฤษ รอคอยมาอย่างยาวนานกับการเข้าชิงชนะเลิศทัวร์นาเมนต์ใหญ่ รอมานานถึง 55 ปี ถ้าใครเกิดปี 1966 ตอนนี้ก็เกินครึ่งชีวิตแล้ว มันคือบรรยากาศที่ชาวอังกฤษ หลายล้านคนไม่เคยสัมผัส ได้แต่เห็นชาติอื่นไปถึง แต่ตัวเองที่บอกว่าเป็น “Home Of Football” กลับไม่เคยได้เข้าถึงมานานมากกว่า 5 ทศวรรษ
ลงสนามไปบวกกับ “Dream Start” เพียงแค่เกมรุกชุดแรก ลุค ชอว์ (25 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) สามารถทำประตูได้ทันที ส่งให้เขากลายเป็น นักเตะ ประวัติศาสตร์ของประเทศคนแรกในรอบ 55 ปี ที่ยิงประตูในรอบชิงชนะเลิศรายการใหญ่ และเป็นคนแรกขอังกฤษ ที่ยิงประตูได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ยิ่งทำให้บรรยากาศคึกคักเร้าใจ และเต็มไปด้วยความหวัง
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอล เล่นกัน 90 นาที สงครามไม่จบ อิตาลี กลับมาสู่เกมด้วยความเชื่อมั่น กดดัน อังกฤษ จนถอยร่นเล่นเกมรับ และสุดท้ายพวกเขาพลาดเสียประตู จากจังหวะผิดพลาดเล็กน้อย กลายเป็น น้อยนิดมหาศาล เพราะมันคือการเสียประตู และสุดท้ายจบด้วยการต่อเวลา ตามด้วยจุดโทษ
การดวลจุดโทษตัดสินชี้ชะตา ไม่ว่าจะเป็นเกมระดับบอลโรงเรียน หรือระดับโลก ทุกคนรวมแบกรับความกดดันกันมากอยู่แล้ว หลายคนในวงการฟุตบอลต่าง “ไม่รับ” หน้าที่เป็นมือสังหารในระยะ 11 เมตร กันมาแล้ว ต่อให้เป็นยอด นักเตะ หรือว่าเหล่า ฮาร์ดแมน ทั้งหลาย หน้าที่นี้ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ทุกคน
แกเร็ธ เซาธ์เกต และ โรเบร์โต้ มันชินี่ ต่างเลือก นักเตะ ของตนเองออกมารับงานนี้ แน่นอนพวกเขามองจากการซ้อม และเลือกลงรับหน้าที่
อิตาลี อาจจะมีโชคอยู่บ้างที่ได้ “ลองของ ลองใจ” มาแล้วในเกมรอบรองชนะเลิศกับ สเปน พวกเขาเลือก 4 จาก 5 คนเดิมรับงานในเกมกับ สเปน ลงทำหน้าที่ทั้งหมด มีเพียง โดเมนิโก้ เบราลดี้ มารับงานแทน มานูเอล โลคาเตลลี่ ที่ยิงพลาดในเกมรอบรองชนะเลิศเพียงคนเดียว
อังกฤษ เลือกทางเลือกที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ แฮร์รี่ เคน และ แฮร์รี่ แมคไกวร์ อยู่ในข่ายเป็นไปได้อยู่แล้วที่จะรับงานนี้ รวมถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็เช่นกัน แต่สำหรับ จาดอน ซานโช่ และ บูคาโย่ ซาก้า เป็นทางเลือกที่น่าประหลาดใจแฟนบอลอย่างแน่นอน
“ผมเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมดว่าใครจะยิงจุดโทษตามผลงานของพวกเขาตอนซ้อม ไม่มีใครที่ตัดสินใจเอง ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของผม” เซาธ์เกต กล่าวถึงสาเหตุในการเลือกเพชฌฆาต 5 คน
แน่นอนถ้าซ้อมดีโอกาสทำได้สำเร็จมันก็มีมาก แต่ เซาธ์เกต น่าจะทราบว่า วันซ้อม กับ วันจริง มันแตกต่างกันอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตนเองผ่านรสชาติของความผิดหวังมาแล้วเมื่อ 25 ปีที่แล้ว กับ ยูโร 1996 ในฐานะ “ผู้พลาดโทษ” และผลที่ตามมามันสาหัสขนาดไหน
การเลือก มาร์คัส แรชฟอร์ด (23 ปี), จาดอน ซานโช่ (21 ปี) และ บูคาโย่ ซาก้า (19 ปี) ลงทำหน้าที่ในลำดับที่ 3 – 5 ของเกมนัดชิงชนะเลิศยูโร มันไม่ใช่วันซ้อมที่จะเลือกใครสักคนมาลอง รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์ที่ปล่อยให้เด็กสามคน รับความหวังของคนทั้งชาติ โดยเฉพาะ ซาก้า นักเตะ ที่อายุน้อยที่สุดในสนามวันนี้ รับหน้าที่คนสุดท้าย
ความผิดพลาดของ แรชฟอร์ด ทำให้จังหวะ และกำลังใจเสียหาย ยิ่ง เบร์นาเดสคี่ ยิงเข้า ซานโช่ ยิ่งกดดัน และแม้ว่า พิคฟอร์ด จะยื้อด้วยการเซฟจุดโทษ จอร์จินโญ่ ไว้ได้ ซาก้า ก็ยังต้องแบกรับแรงกดดันเท่าเดิมอยู่ดี เพราะตนเองพลาดไม่ได้ และเขาก็พลาดจริง ๆ
วินาทีที่พลาดเราเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของเด็กวัย 19 คนหนึ่งออกมาต่อหน้าคนหลายล้านคน เพื่อนร่วมทีมรีบกรูเข้าไปปลอบใจ สวนทางกับ อิตาลี ที่ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ระเบิดอารมณ์หน้าจอทีวีด้วยการพูดว่า It’s Coming Rome ออกมา…ความรู้สึกต่างกันสุดขั้ว ความรู้สึกของแฟนบอลก็เช่นกัน
ความรู้สึกของแฟนบอลอังกฤษ และทั่วโลก ต่างพุ่งเป้าไปที่ บูคาโย่ ซาก้า ผู้พลาดคนสุดท้าย ตามด้วย แรชฟอร์ด, ซานโช่ และ แน่นอนที่สุด แกเร็ธ เซาธ์เกต มีทั้งคำปลอบใจ และคำเย้ยหยันที่น่ารังเกียจ โทษฐานทำให้งานฉลองของคนทั้งชาติจบลงแบบจืดชืด สร่างเมา และพร้อมจะก่อปัญหาเพื่อให้อารมณ์ในใจได้ออกมาให้โลกรู้ เริ่มต้นจากการ กระแทกหน้าจอพิมพ์ข้อความ หาใครสักคน บอกให้รู้ว่า “กูโกรธ กูผิดหวัง มึงทำพลาด มึงพลาดได้ไง” ตามด้วยการทำลายข้าวของตามที่ต่าง ๆ
ซาก้า คือเป้าใหญ่ที่สุด เขาโดนอิโมจิรูป “กล้วยและลิง” ผ่านทางอินสตาแกรม และทุกสื่อที่จะส่งไปถึง แน่นอน แรชฟอร์ด และ ซานโช่ ก็ไม่พลาดที่จะโดนด้วย เพราะสีผิวของพวกเขา…แล้วจะ No Room No Racism หรือว่า Black Live Matter ทำไม ในเมื่อขนาดคนในชาติตัวเองผิดพลาดขึ้นมา สีผิวก็ยังโดนเอามาเป็นประเด็นอยู่ดี
สโมสร และ หลายสำนักข่าว ต้องออกมาปกป้อง นักเตะ ในสังกัดของตนเองเป็นการใหญ่ BT Sports หนึ่งในสื่อใหญ่ของอังกฤษ ต้องออกมาโพสห้ามปรามเกี่ยวกับเรืองนี้ แต่มันก็ไม่สามารถหยุดได้ เพราะคนที่เข้าใจก็เข้าใจ แต่คนที่ไม่คิดจะเข้าใจก็ไม่อาจหวังให้เข้าใจได้เช่นกัน
เป็นกำลังใจให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด – จาดอน ซานโช่ และ บูคาโย่ ซาก้า สามคนที่กลายเป็นเหยื่อของความผิดหวัง และกลายเป็น มนุษย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อคุณทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง ไม่ได้ดังใจ
พวกคุณสามคนทำดีที่สุดแล้ว ใจกล้ามากที่ออกไปรับงานใหญ่ขนาดนี้ นับถือในหัวจิตหัวใจนักสู้ และหวังว่าจะก้าวข้ามความผิดหวังได้โดยเร็วครับ
Copyright © 2019 UFA6556 แทงบอลออนไลน์ มั่นคง ปลอดภัย อันดับหนึ่งเมืองไทย | All right reserved.