จบเกมเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ เรนเจอร์ส – อาร์เซนอล นะครับ เสมอกันไป 2-2 ในเกมที่ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ของ “สตีวี่ จี” ลงเล่นอุ่นเครื่องเกมที่สาม ส่วน อาร์เซนอล ของ อาร์เตต้า ลงเล่นเป็นเกมที่สอง นับจากกลับมารวมทีมกัน
อย่างไรก็ตามเกมนี้นอกจากจะมาอุ่นเครื่องลองทีมกันแล้ว เกมนี้ยังมีความหมายซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเกมนี้เป็นเกมที่ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทำการฉลองครบรอบ 150 ปี วาระการก่อตั้งสโมสร “เดอะ ไลท์บลูส์” สโมสรที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกฟุตบอล และพวกเขาคือแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศด้วยจำนวน 55 ครั้งด้วยกัน แต่ทำไมถึงต้องเป็น อาร์เซนอล ล่ะ ที่พวกเขาเชิญมาลงเล่นกันในเกมนี้ เรื่องนี้มันมีที่มาครับ
วิลเลี่ยม “บิลล์” สตรุทซ์ ชายผู้เป็นตำนานของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส และ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ผู้ซึ่งเป็นตำนานชองอาร์เซนอล คือเพื่อนสนิทกันอย่างยิ่ง แม้คนหนึ่งจะเป็นสกอตแลนด์ อีกคนจะเป็นอังกฤษก็ตาม และพวกเขาทั้งสองคนต่างพาสโมสรของตนเองประสบความยิ่งใหญ่ และในปี 1933 ทั้งสองทีมคือแชมป์ลีก ของ สกอตแลนด์ และอังกฤษ ทำให้พวกเขาเกิดแนวคิดว่า “ทำไมไม่มาเล่นเจอกันหน่อยล่ะ ไม่เคยลงเล่นเจอกันมาก่อนเลยสักครั้งเลยนะ”
มันจึงกลายเป็นเกมอุ่นเครื่องที่เรียกว่า “Game of Champions” เกิดขึ้น โดยในปีนั้นเกมอุ่นเครื่องเล่นกันสองเกมทั้งใน ไอบร็อกซ์ พาร์ค และ ไฮบิวรี่ ซึ่งทั้งสองเกม เรนเจอร์ส เอาชนะไปได้ทั้งหมด และเกมนั้นสร้างความโด่งดังไปทั่ว เกรท บริเตน และทำให้ เรนเจอร์ส – อาร์เซนอล ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องยาวนานติดต่อกันถึง 5 ฤดูกาล แต่น่าเสียดายที่ แชปแมน ได้คุมทีมลงเล่นไปเพียงสองเกมเท่านั้น เพราะในปี 1934 เขามีอาการป่วยและเสียชีวิตลงในวันที่ 6 มกราคม 1934 สร้างความเสียใจให้กับ สตรุทซ์ เป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่เคยลืมเพื่อนคนนี้เลยจนวาระสุดท้ายของตนเอง ยิ่งทำให้ เรนเจอร์ส และ อาร์เซนอล ต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และตามมาด้วยเรื่องราวอีกมากมาย
การใช้งาน “แสงไฟ” ในสนามแข่งขันฟุตบอลเนี่ย มันมีมานานมากแล้วครับย้อนไปไกลถึงในช่วงปี 1930 และ อาร์เซนอล ภายใต้การคุมทีมของเฮอร์เบิร์ต แชปแมน ผู้จัดการทีมคนแรกที่พาทีมประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์สโมสรกับ แชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 1930 เขาได้นำเรื่องของการใช้ “แสงไฟ” มาติดตั้งในสนามซ้อมของทีม โดยเขาเห็นมาจากการเดินทางไปที่ประเทศเบลเยี่ยม และก็นำมาใช้กับ อาร์เซนอล
อย่างไรก็ตามสมัยนั้นเรื่องของ แสงไฟ และไฟฟ้า มันก็ไม่ได้ว่าจะมีราคาถูก หรือสามารถติดตั้งกันได้ง่ายดายนัก อาร์เซนอล รอนานกว่า 20 ปี จนกระทั่งในปี 1951 พวกเขากลายเป็นมีแสงไฟ ในสนาม ไฮบิวรี่ เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ชมในสนามเห็นเกมได้ชัดเจนขึ้น โดยเกมแรกพวกเขาลงเล่นในเกมพบกับ ฮาโปเอล เทล อาวีฟ ในเกมอุ่นเครื่อง ที่สมัยนั้นเรียกว่า “Tour Match” กันอยู่เลย แถมระบุด้วยว่า “เกมนี้ลงเล่นภายใต้แสงไฟ” เรียกว่าโปรโมท และสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนอลเป็นอย่างมาก เกมนั้น อาร์เซนอล โชว์ผลงานใต้แสงไฟในสนามอย่างสวยหรูถล่ม ผู้มาเยือนไปแบบไม่ไว้หน้า 6-1 ในวันที่ 19 กันยายน 1951 ก่อนที่เกือบหนึ่งเดือนต่อมา เกมที่ลงเล่นใต้แสงไฟเกิดขึ้นอีกครั้ง ในการพบกับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในวันที่ 17 ตุลาคม 1951 และยังคงเป็น อาร์เซนอล เอาชนะไปได้ 3-2 เป็นเกมแรกที่พวกเขาลงเล่นในการเจอทีมจากสหราชอาณาจักร และแน่นอนเป็นเกมแรกของ เรนเจอร์ส ที่ได้ลงเล่นแบบนี้ในสนามด้วย
1953 สนาม ไอบรอกซ์ พาร์ค บ้านของ เรนเจอร์ส มีการติดตั้งแสงไฟ หรือ Floodlight บ้าง พวกเขาก็เลือกที่จะเชิญ อาร์เซนอล มาเป็นทีมแรกอย่างเป็นทางการ ในการลงเล่นกับพวกเขา (บางข้อมูลบอกว่า เรนเจอร์ส ใช้แสงไฟในสนามเกมแรกในเกมอุ่นเครื่องมาก่อนอาร์เซนอลหนึ่งเกมแล้ว แต่ไม่นับรวม)
1973 ในวาระครบรอบ 100 ปีสโมสร เรนเจอร์ส พวกเขาก็ยังคงนึกถึง อาร์เซนอล และเชิญ อาร์เซนอล ลงเล่นในเกมฉลองครบรอบหนึ่งศตวรรษของพวกเขา
“มิตรภาพของทั้งสองสโมสรที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสองสโมสร พวกเราผูกพันกันมาอย่างยาวนาน สองผู้จัดการทีมที่เราสองทีมรัก ต่างเป็นเพื่อนรักของกันและกัน และนั่นทำให้เมื่อเราคิดถึงการฉลองการครบรอบ 150 ปีของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส สโมสรแรกที่เราคิดถึงคือ อาร์เซนอล”
เกมการแข่งขันจบลงไปไม่ว่าจะผลการแข่งขันเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้ความสัมพันธ์ที่ยาวนานนี้ เลือนหายไปได้เลย