“มีเงินจ้างผีโม่แป้ง” สำนวนจีน ที่มาใช้กันบ่อยในประเทศไทย ที่มักจะกล่าวถึงการที่หากเรามีเงินมากพอ เราก็สามารถสั่งการ หรือทำอะไรก็ได้ เพราะ “เงิน” คือหนึ่งในมาตรวัดที่จะบอกว่าเรามีสถานะทางสังคม และชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไปเป็นอย่างไร
“เงิน” เป็นสิ่งที่ใครก็อยากได้ และไม่ผิดถ้าคุณจะเลือกมัน หาก “เงิน” นั้นมาด้วยความสุจริต และน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เหมือนกับดีลการซื้อขายที่สะท้านวงการที่กำลังอยู่ในโค้งสุดท้ายแล้วว่า การซื้อขายจะเกิดขึ้นหรือไม่
โรเมลู ลูกากู (28 ปี สัญญาถึง 2024) กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยม จาก อินเตอร์ มิลาน กลายเป็นข่าวไปทั่ววงการกับตัวเลขประมาณ 120 ล้านยูโร ที่ เชลซี ยื่นให้กับทัพงูใหญ่ในการขอดึงตัว “รอม” กลับคืนเวที พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง หลังจากออกจากทีมไปเป็นเวลา 2 ฤดูกาล
ลูกากู ย้ายมาร่วมงานกับ อินเตอร์ มิลาน ในยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ เป็นชอยส์อันดับหนึ่งที่ คอนเต้ เลือกมาร่วมงานกับ อินเตอร์ แม้จะต้องทุ่มเงินมากถึง 80 ล้านยูโร ก็ตาม บนความสงสัยว่า เขาจะดีสมราคาหรือไม่ แต่มาถึงวันนี้ 95 เกม 64 ประตู 16 แอตซิสต์ พร้อมกับช่วยให้ อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ได้อีกครั้ง คือเครื่องพิสูจน์ว่า ความล้มเหลวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืออุบัติเหตุฟอร์มตกของเขาเท่านั้น
มองย้อนกลับไป ลูกากู มีค่าตัวประมาณ 18 ล้านปอนด์ ตอนเขาอายุเพียง 18 ปี ในปี 2011 ย้ายมาจาก อันเดอร์เลชท์ สู่เชลซี แต่เวลานั้นเขากับ เชลซี เหมือนความรักที่ผิดที่ผิดเวลา ทีมไม่มีที่ว่างให้กับเขา ส่งให้เขาต้องไปปล่อยของกับทีมอื่นทั้ง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (ยืมตัว) และ เอฟเวอร์ตัน (ยืมตัว) ก่อนที่ ทอฟฟี่สีน้ำเงินจะทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์ นำเขามาร่วมทีมอย่างถาวร และที่นี่ ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดที่กลายเป็น “ดาวดัง” ของ พรีเมียร์ ลีก แบบเต็มตัว
รูปร่างสูงใหญ่ คล่องตัว เป็น Post-Player ที่อาศัยพละกำลัง ด้วยมัดกล้ามที่แน่นทั่วตัว เอาชนะคู่แข่ง มีความเร็วในระดับหนึ่ง และแน่นอนการจบสกอร์ก็จัดว่าระดับแนวหน้า ลูกากู โดดเด่นมากตลอด 4 ปี โดยสามปีสุดท้ายของเขา การันตีขั้นต่ำ 20 ประตูต่อฤดูกาล จนกระทั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอซื้อไปด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์
“ROM IS RED” คือคำโปรยที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โปรโมทในการเซ็นสัญญากับ ลูกากู คนที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเป็นคนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง…แต่สิ่งที่เหมือนกับ เชลซี คือ ลูกากู กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหมือนกับ “ผิดที่ผิดเวลา” อีกหนึ่งครั้ง
แม้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะเลือกเขาเป็นทางเลือกแรก ส่งเขาลงสนามต่อเนื่อง ผลงานก็ดีในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลงานของเขา และทีมไม่เป็นไปตามที่หวัง เขาคือ “แพะรับบาป” หนึ่งคนที่โดนวิจารณ์ในผลงานมากที่สุด บนความล้มเหลว แม้จะเปลี่ยนโค้ชมาเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็ตาม
“เชื่องช้า” “จับบอลลั่น” “ทำอะไรไม่ได้เลย” เสียงวิจารณ์พร้อมกับการล้อเลียน ไม่รวมถึงการเหยียดที่โดนกันอยู่แล้วสำหรับนักฟุตบอลยุค สังคมออนไลน์ครองโลก ลูกากู กลายเป็น “ตู้เย็นสีแดง” ของแฟนบอลชาวไทยหลายคน เอาเขาไปล้อเล่นแบบสนุกปาก สะใจ และสุดท้ายมันก็จบด้วยการย้ายออก
การกลับไปที่ อินเตอร์ มิลาน ทำให้เขาได้รับความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่วันแรก คอนเต้ เลือกเขาด้วยความ “อยากได้” มาร่วมงานด้วยตั้งแต่สมัยคุม เชลซี แล้ว แต่สุดท้าย เวลานั้น ทีมกลับปล่อย ลูกากู ไปสวมเสื้อสีแดง และให้ อัลวาโร่ โมราต้า มาสวมชุดสิงโตน้ำเงินที่นอกจากจะไม่ตรงสเป็คแล้ว ยังผลงานไม่ได้อีกต่างหาก ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนได้ร่วมงานกัน ความเชื่อใจ และเชื่อมั่นในกันและกัน คือปัจจัยหลักที่ทำให้ ลูกากู กลับมาเฉิดฉาย
แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ก็เกิดขึ้น…
อินเตอร์ มิลาน มีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จากผลกระทบของการระบาดของ โควิด-19 กลุ่ม ซูหนิง กรุ๊ป เจ้าของสโมสร อินเตอร์ มิลาน พวกเขามีปัญหาถึงขั้นที่ว่า จำเป็นต้องยุบสโมสร เจียงซู ซูหนิง ในไชนีส ซูเปอร์ ลีก ทิ้ง เพื่อต้องการเก็บ อินเตอร์ มิลาน เอาไว้ต่อไป และท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ทำการกู้ยืมเงินเข้ามาสู่ทีม พร้อมกับการตัดสินใจปล่อยตัว อคราฟ ฮาคิมี่ ไปสู่ เปแอสเช ด้วยราคา 70 ล้านยูโร
ทุกอย่างจบลงไหม…ไม่ เพราะแม้ว่าการขาย ฮาคิมี่ จะได้เงินจำนวนมาก แต่ก็ไม่มากพอกับการจะครอบคลุมเงินที่พวกเขาต้องแบกรับภาระหนี้ที่กู้ยืมมา แต่มันก็พอสำหรับการที่อย่างน้อย 1 ปี ต่อจากนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องขายสตาร์ออกจากทีมอีกแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการมีปัญหาทางการเงินของ อินเตอร์ มิลาน ก็ส่งผลให้การซื้อขายของพวกเขาไม่คล่องตัวเท่าไรนัก รวมถึงทำให้ อันโตนิโอ คอนเต้ ตัดใจอำลาทีม หลังจาก อินเตอร์ มิลาน ปล่อย ฮาคิมี่ ไปด้วยเหตุผลด้านการเงิน นำมาซึ่งการเข้ามาของ ซิโมเน่ อินซากี้ นายใหญ่คนใหม่ ณ เวลานั้น อินเตอร์ ชัดเจนกับ อินซากี้ ผู้น้องว่า พวกเขาจะเก็บสตาร์หลักเอาไว้ให้ได้ทุกคน ยกเว้น ฮาคิมี่
โรเมลู ลูกากู – อเลสซานโดร บาสโตนี่ และ นิโกโล่ บาเรลล่า คือสามคนที่ อินเตอร์ มิลาน ยืนยันมาตลอดว่า พวกเขาหวงอย่างยิ่ง ส่วนคนอื่นรองลงมา พวกเขาไม่ปิดกั้นการปล่อยตัว แต่ถ้าข้อเสนอมันมากพอ พวกเขาก็พร้อมพิจารณา จนกระทั่งการมาถึงของ เชลซี
เชลซี ปีที่ผ่านมา มีปัญหาในเรื่องการทำเกมรุก แนวหน้าของทีมสามคน ติโม แวร์เนอร์, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ แทมมี่ อับราฮัม ไม่สามารถผลิตสกอร์ได้ตามที่หวัง โดยเฉพาะ แวร์เนอร์ ที่ได้รับโอกาสมากที่สุด แต่ก็เป็นหนึ่งในคนที่ผลงานแย่ที่สุดเช่นกัน (52 เกม 12 ประตู) ส่วน สองคนที่เหลือทำไปคนละ 11 ประตู บนข้อเท็จจริงที่ว่ามีส่วนร่วมกับจำนวนเกมที่น้อยกว่าถึง 20 เกม
ชิรูด์ อำลาทีมเรียบร้อยแล้ว แวร์เนอร์ ผลงานไม่น่าพอใจกับการผลิตประตู ฮับราฮัม ก็ไม่ได้รับโอกาสมากนักในยุคของ โธมัส ทูเคิ่ล ดังนั้น “กองหน้าตัวเป้า” จึงเป็นเป้าหมายของเชลซี ในตลาดรอบนี้ และพวกเขาเลือก ลูกากู
ข้อเสนอประมาณ 120-130 ล้านยูโร นับเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนักหากไม่ใช่สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 แต่กับยุค โควิด-19 นี่คือตัวเลขที่หาได้ยากยิ่งที่จะมีสักสโมสรยื่นให้กัน และนั่นทำให้ อินเตอร์ มิลาน ต้องคิดหนัก
สตีฟ จาง เจ้าของสโมสร อินเตอร์ มิลาน เป็นนักธุรกิจหนุ่ม เขารักทีมอินเตอร์ มิลาน เขาชื่นชอบในลูกากู แต่บางครั้ง ความรัก และความชื่นชอบ มันอาจไม่สำคัญเท่ากับ “เงิน” ที่จะมาทำให้ทีมเดินหน้าต่อไปได้ เพราะอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ อินเตอร์ มิลานไมได้ร้อนเงิน แต่ก็ไม่ได้ว่าไม่มีหนี้สิน และเงินก้อนใหญ่ระดับ 100 ล้านยูโร มันก็ช่วยให้สโมสรหายใจคล่องคอยิ่งขึ้น
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะง่าย และราบรื่นไปทั้งหมด เมื่อมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในทีม อินเตอร์ เกี่ยวกับดีลนี้ เมื่อมีการเผยว่า บอร์ดบริหารของทีมไม่เห็นด้วยกับเจ้าของทีม เพราะการ “สื่อสารภายในองค์กร” ระหว่างทีมบริหาร และกลุ่มทีมงานสตาฟฟ์ รวมถึง นักเตะ ข้อความชัดเจนคือ “ลูกากู จะอยู่กับทีมต่อไป” และเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหานี้คงต้องมีการเปิดใจเคลียร์กันยกใหญ่ โดยเฉพาะ สตีฟ จาง กับ ซิโมเน่ อินซากี้ ที่นายใหญ่คนใหม่ วาง ลูกากู คือตัวหลักคนสำคัญที่สุด ไม่รวมถึง นักเตะ อย่าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ที่สัญญากำลังจะหมดลงในปี 2023 และยังไม่ต่อสัญญาใหม่ ไม่รวมถึงแฟนบอลอินเตอร์ที่มีทั้ง ไม่พอใจ ด่าทอ และร้องขอให้ ลูกากู ยังเป็น นักเตะ อินเตอร์ มิลานต่อไป
“วันก่อนบอกอย่างหนึ่ง วันนี้บอกอีกอย่างหนึ่ง” ในแง่การทำงานนี่คือปัญหา ที่ต้องแก้ไขให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเจ้าขององค์กร คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ แต่แน่นอนมันไม่สำคัญเท่าความอยู่รอดขององค์กร ในระยะยาว และหากเสีย ลูกากู ไป พวกเขาจะเลือกใครมาปลอบใจ แฟนบอล โดยมีชื่อของ ดูวาน ซาปาต้า หัวหอกอตาลันต้า เป็นทางเลือกแรก และตอบแทน “เงิน” ที่ลงทุนไปมาสร้างความสุข และความหวัง ให้กับทีมได้มากแค่ไหน ต้องรอติดตามกัน
ในแง่ของ ลูกากู การย้ายทีมครั้งนี้ เขาจะได้เงินค่าแรงที่ว่ากันว่าได้มากกว่าเดิมแบบดับเบิ้ล สมกับราคาค่าตัวทะลุร้อยล้านยูโร ไม่รวมถึงสถานะ “ทางเลือกแรกแบบอัตโนมัติ” ในทีมตัวจริง วันนี้ต่างกับ 10 ปีที่แล้วที่เขามาเชลซี ที่เหมือนเด็กท้ายแถว กลายมาเป็นรุ่นใหญ่แถวหน้าของทีม
การกลับ “ถ้ำสิงห์” คราวนี้ ลูกากู จะได้มีโอกาส พิสูจน์คุณค่าของตนเองหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ลบคำสบประมาทที่สาบส่งเขาในวันสุดท้ายของการเล่นในอังกฤษ และได้ลุ้นความสำเร็จบนเวทีพรีเมียร์ ลีก ที่ยังไม่เคยได้รับ แถมยังได้ “เงิน” มากกว่าเดิมอีกต่างหาก มันเป็นผลพลอยได้ และผลของการทำงานหนักที่ผลงานยอดเยี่ยมมาตลอด 2 ปีกับชีวิตในอิตาลี รวมถึงทีมชาติเบลเยี่ยม
“มีเงินจ้างผีโม่แป้ง” มาวันนี้ “เงิน” กำลังสามารถทำให้ “จงอางหวงไข่” จำใจต้องปล่อยของรักของหวงของตนเองออกมา เพื่อการไปต่อของชีวิตที่เหลือของตนเองเช่นเดียวกัน