ในวงการฟุตบอล เรื่องราวของทีมเยาวชน คือหนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งในยุคนี้ เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ลา มาเซีย” ศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสรบาร์เซโลน่า ที่ปลุกปั้นนักเตะชั้นนำอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, อันเดรียส อิเนียสต้า หรือว่า ชาบี เอร์นานเดซ หรือมองไปไกลอีกสักนิดอย่าง “เดอ ตูร์กอมส์” (ความฝัน) ศูนย์เยาวชนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปจนถึงที่หลายคนกำลังเริ่มคุ้นชื่อของ “เฮล เอนด์ อะคาเดมี่” ศูนย์เยาวชนของ อาร์เซนอล ซึ่ง อาร์แซน เวนเกอร์ สร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 เป็นต้น แต่มันไม่ใช่แค่สโมสรเหล่านี้หรอก ที่เปิดกว้างในเรื่องของระบบเยาวชน แต่มันคือ “ทุกสโมสร” ระดับอาชีพต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้
“เราไม่ได้ซื้อซูเปอร์สตาร์ แต่เราสร้างซูเปอร์สตาร์” อาร์แซน เวนเกอร์ เคยกล่าวเอาไว้
การพัฒนาทีมเยาวชน กลายเป็นเรื่องสำคัญมาก และพัฒนากันตั้งแต่อายุน้อยมาก คุณไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า นักเตะสมัยนี้เวลาขึ้นมาเป็นนักเตะชื่อดัง หลายคนจะบอกว่าอยู่กับสโมสรมาตั้งแต่อายุหลักหน่วย บางคนอาจจะไม่ได้เริ่มต้นกับสโมสร แต่ก็มาพัฒนาตนเองกับสโมสรใหญ่ และสุดท้ายก้าวมาเป็นตัวหลักของสโมสรได้ในที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่การพัฒนาเยาวชนภายในสโมสร หรือภายในประเทศเพียงอย่างเดียว การขยายตลาดนักเตะเยาวชนไปยังต่างแดน และหนึ่งในนั้นคือสโมสรที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับในเรื่องของทีมเยาวชนของพวกเขามากนัก กับเรื่องราวของ “เรือดำน้ำสีเหลือง” บียาร์เรอัล
บียาร์เรอัล เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 หลังการขึ้นมาสู่ ลา ลีกา ได้สำเร็จ แม้ว่าผ่านมาใกล้ครบ 3 ทศวรรษ พวกเขายังไม่เคยก้าวไปถึงแชมป์ ลา ลีกา แต่การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงผลงานที่ยกระดับกลายเป็นทีมที่ลงเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นประจำ รวมถึงการได้แชมป์ ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม “ระบบเยาวชน” ของพวกเขาก็มีการพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมา ภายใต้ชื่อว่า บียาร์เรอัล ซีเอฟ ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ (Villarreal CF Soccer Academy) จนถึงในปี 2018 พวกเขาก้าวออกไปนอกสเปน ด้วยการเปิดตลาดในสหรัฐอเมริกา และไปตั้งศูนย์เยาวชนที่ชื่อว่า “บียาร์เรอัล เวอร์จิเนีย” [Villarreal Virginia] หรือในชื่อย่อ “VIVA” ที่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์เยาวชนชื่อดังแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีแค่พวกเขาทีมเดียวเท่านั้น หลายสโมสรในยุโรป ต่างเข้ามาสู่ตลาดในอเมริกาเพื่อเป้าหมายเดียวกับพวกเขาเขาเช่นกัน
พวกเขาเข้ามาเปิดตลาดนักเตะในสหรัฐอเมริกา ตามเป้าหมายหลักคือการฝึกสอนฟุตบอลให้กับ “นักเตะในแนวทางแบบ บียาร์เรอัล เพื่ออนาคตของ บียาร์เรอัล” พร้อมกับการสร้างเครือข่ายร่วมกับทีมเยาวชนต่าง ๆ ในแถบทวีปนี้ทั้งหมด ในการทำงานร่วมกันเพื่อปั้น นักเตะ สักคนหนึ่งขึ้นมา และขัดเกลาจนเขาเหล่านั้น อาจจะมีความสามารถมากพอจะย้ายไปเล่นฟุตบอลในสเปนกับ บียาร์เรอัล ในสักวันหนึ่ง
สหรัฐอเมริกา เพิ่งมีการก่อตั้งฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจังในชื่อของ เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ ในช่วงก่อนฟุตบอลโลก 1994 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันได้ไม่นานนัก ก่อนหน้านี้พวกเขามีเพียงฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย และฟุตบอลอาชีพในยุคก่อนยังคงแบ่งเป็นภูมิภาคไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบัน และถึงวันนี้แม้ อเมริกา จะมีเมเจอร์ ลีก มาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ ฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ ก็ยังคงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมไม่มากเท่ากับ “อเมริกันเกมส์” อย่าง บาสเกตบอล, อเมริกันฟุตบอล และเบสบอล แต่พวกเขาก็เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จากการที่มี นักเตะ ระดับโลกหลายต่อหลายคน เลือก เมเจอร์ ลีก เป็นหนึ่งในปลายทางในการเล่นฟุตบอลของตนเอง และทุกวันนี้ นับจาก อเล็กซี่ ลาลาส ในปี 1994 มาจนถึง คริสเตียน พูลิซิช สตาร์เบอร์หนึ่งของอเมริกาคนปัจจุบัน พวกเขาคือแรงบันดาลใจใหม่สำหรับเด็กเยาวชนอเมริกัน ที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นโลดแล่นในลีกชั้นนำของยุโรป นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง แต่นั่นก็แลกมากับความพร้อมของเยาวชนเหล่านั้นด้วยเช่นกันว่า พวกเขาจะแกร่งพอไปเล่นในระดับนั้นหรือเปล่า และ “ระบบเยาวชน” ของสโมสรในยุโรปอย่าง บียาร์เรอัล เวอร์จิเนีย ก็คือเส้นทางหนึ่งในการไปถึงเป้าหมายนั้น
อย่างไรก็ตามการปูเส้นทางจาก “อเมริกา ถึง ยุโรป” มันก็ไม่ง่ายนัก เพราะนี่คือการส่งเด็กคนหนึ่งออกจากครอบครัวข้ามทวีปไปยังอีกฟากหนึ่งของโลก ครอบครัวของเด็กต้องมีความเชื่อมั่นในสโมสร ส่วนสโมสรก็ต้องเชื่อมั่นในเด็ก และนั่นคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นด้วยเวลา และความไว้ใจ
บียาร์เรอัล เวอร์จิเนีย ร่วมงานกับ บียาร์เรอัล ในการที่จะทำสิ่งเหล่านั้นพวกเขาชัดเจนด้วยการส่งโค้ชจากสเปนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี อมาโต้ ซึ่งเป็นอดีตนักเตะเยาวชนของหลายสโมสรในสเปน เป็นเหมือนกับ
”ตัวกลาง” ในการเชื่อมโยงระหว่างสององค์กรเข้าด้วยกัน โดย อมาโต้ ได้รับสิทธิ์ในการที่จะเลือกนักเตะที่เขาเชื่อมั่นว่า มีความสามารถมากที่สุดเข้าร่วมการเวิร์คชอป และฝึกซ้อมในสเปน ซึ่งหากผลการซ้อมออกมาเป็นที่น่าพอใจ หรือว่า “มีแวว” เด็กเหล่านั้นอาจจะได้รับการเสนอให้อยู่ในสเปนยาวนานกว่าเดิม และหากยิ่งว่ามีการถือพาสปอร์ตยุโรป ก็อาจจะทำให้นักเตะลงอยู่ในทีมอายุต่ำกว่า 18 ปี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในยุโรป…ก็เริ่มต้นขึ้น