อารอน แรมสเดล (23 ปี สัญญาถึงกลางปี 2025) นายทวารหนุ่มจาก อาร์เซนอล กำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่กราฟกำลังไต่ขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุดในชีวิตที่เคยผ่านมาของตนเอง เมื่อทุกวันนี้เขากลายเป็นนายทวารตัวจริงของ อาร์เซนอล มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่
เด็กหนุ่มที่เกิด และเติบโตในย่านที่ชื่อว่า สโต๊ค-ออน-เทรนท์ ในสแตฟฟอร์ดเชียร์ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลในแบบที่เรียบง่าย และเบสิกที่สุด นั่นคือการเล่นฟุตบอลกับคนในครอบครัว
“ความทรงจำแรกสุดในเรื่องฟุตบอลของผม คือการเล่นฟุตบอลกับพ่อ และพี่ชาย เราลงเล่นกันในสวนสาธารณะ มันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ วันหนึ่งวันเราหมดไปกับลูกบอล จนกระทั่งวันหนึ่งผมบอกกับพ่อว่า ผมอยากเล่นฟุตบอลแบบจริงจัง”
“ลูกอยากเล่นตำแหน่งอะไร”
“ผู้รักษาประตู”
“บ้าไปแล้วไอ้ลูกชาย เอ็งบ้าไปแล้ว”
แต่เมื่อพ่อของเขาได้ยินคำยืนยันจากลูกชายคนเล็กจากจำนวนสามคนของครอบครัว บอกย้ำว่าการเป็นคนเดียวในทีมที่สามารถใช้มือเล่นฟุตบอลได้ คือตำแหน่งที่ต้องการลงเล่น พวกเขาก็สนับสนุนเต็มที่ กับครอบครัวที่รักการเล่นกีฬากันทุกคน ซึ่งพ่อและแม่ของเขาเป็นนักกีฬาวิ่งข้ามรั้ว 400 เมตร และส่งต่อมาถึงลูกชายของเขาด้วย
“ผมเคยเล่นกีฬามาทั้งการวิ่งวิบาก, แบตมินตัน หรือว่าคริกเก็ต หรือว่ารักบี้ ซึ่งตอนหลังพี่ชายของผม ก็เลือกไปเล่น รักบี้ มากกว่าฟุตบอล เพราะเขารักมันมากกว่า ส่วนผมยังคงรักในฟุตบอล และก็เล่นเรื่อยมา ส่วนพี่ชายอีกคนกลายเป็นนักเต้นอาชีพ”
ชีวิตของเขากับการเล่นฟุตบอลในลีกวันอาทิตย์ (Sunday League) กับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อว่า มาร์ช ทาวน์ ผ่านไปหลายปี เขาเติบโตขึ้นในฐานะของนายทวารวัยรุ่น และได้รับการชักชวนจาก เฟร็ด บาร์เบอร์ ซึ่งทำงานเป็นโค้ชนายทวารระดับเยาวชนให้กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ชีวิตนักฟุตบอลของเขาก็มีเส้นทางที่ชัดเจนขึ้น
“ผมไปซ้อมกับ โบลตัน ทุกวันพุธ และ ศุกร์ ครั้งละชั่วโมงครึ่ง ถึงสองชั่วโมงที่นั่น มีนายทวาร 10 – 25 คน ซ้อมกันที่นั่น อายุต่างกัน ระดับการเล่นต่างกัน มันทำให้ผมเห็นอะไรที่มากขึ้น และมีความสุขที่ได้ไปที่นั่น สุดท้ายแม้จะไม่ได้เซ็นสัญญากับพวกเขา มันก็คือประสบการณ์ล้ำค่า”
แรมสเดล ไปเข้าร่วมการคัดตัวกับหลายสโมสร ซึ่งเขาก็ยอมรับว่า “ผิดหวัง” มาหลายครั้ง เมื่อได้รับการปฏิเสธ สุดท้ายเขาได้รับโอกาสจากทั้ง ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเขาก็เลือก “เดอะ เบลด” เป็นปลายทาง
“ผมเลือกเพราะ ผมคิดถึงโอกาสในระยะยาวว่าผมจะทำอะไรต่อไปจากนี้ ผมอยากเล่นฟุตบอลต่อไป หลังจากออกจากโบลตัน ผมก็ต้องเลือกหาที่ใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกไปที่ไหนก็ตาม มันคือการเดินทางไกล ต้องย้ายโรงเรียน ย้ายบ้านไปตามด้วย สุดท้ายผมเลือกย้ายไป เชฟฟิลด์ และเข้าร่วมทีม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ผมอยากพิสูจน์ตัวเองว่า หลายคนคิดผิดที่มองว่าผมดีไม่พอ และเพื่อช่วยให้พ่อแม่ผมได้ภูมิใจ พวกเขาทำงานหนัก สนับสนุนผมเสมอ ใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการดูแลผม มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ผมอยากตอบแทนพวกท่านทั้งสอง ที่ไม่ว่าผมจะย้ายไปเล่นที่ไหน พวกเขาก็จะเดินทางไปชมเกมที่ผมลงเล่น แม้ว่าสัปดาห์บางสัปดาห์จะต้องผิดหวังเพราะผมนั่งสำรองก็ตาม แต่พวกเขาก็มาชมเกม ตอนนี้พ่อกับแม่ผมกลายเป็นแฟนฟุตบอลไปแล้วล่ะ แม้ว่าต่อให้เกมนั้นผมบาดเจ็บไม่ได้เล่นแน่นอน พวกเขาก็ยังมาดูเกม เพราะบอกว่าชอบบรรยากาศในสนามฟุตบอล”
แรมสเดล ผ่านการย้ายไปเล่นกับหลายสโมสรแม้วัยจะเพียง 23 ปี แต่ผ่านการเล่นมาแล้วทั้ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, บอร์นมัธ, เชสเตอร์ฟิลด์, วิมเบิลดัน ก่อนจะมาถึง อาร์เซนอล โดยที่ผ่านมาเขาลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับ บอร์นมัธ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งผลที่ออกมาคือ เขาไม่สามารถช่วยให้สองสโมสรของเขารอดจากการตกชั้นได้ ทำให้กลายเป็นที่ล้อเลียน จนถึงขั้น “เหยียดความสามารถ” ของเขาตั้งแต่วันที่มีข่าวย้ายมา อาร์เซนอล แล้ว
“ผมได้รับคำแนะนำจากพ่อและแม่ มาตั้งแต่เข้าวงการฟุตบอลว่าให้ผมยิ้มสู้เข้าไว้ มีความสุขในสิ่งที่ทำ เชื่อมั่นในตัวเอง และเรียนรู้ให้มากที่สุด เพราะเรามีสิ่งที่ไม่รู้อีกเยอะมากในโลกนี้ จงสนุกกับมัน เราไม่สามารถไปควบคุมใครได้ ทั้งอารมณ์, ความรู้สึก หรือว่าความคิดเห็นของแต่ละคน เกี่ยวกับตัวผม”
“สิ่งเดียวที่สามารถควบคุมได้คือตัวเองเท่านั้นว่าจะเล่นฟุตบอลแบบไหน และจะสนุกกับมันได้มากแค่ไหน เพราะชีวิตตริงมันยากกว่าชีวิตในโลกฟุตบอลเยอะ ซึ่งจะว่าไป ผมก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาตลอดกับคำพูดของผู้คน สำหรับผมฟุตบอลไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ”
แรมสเดล ย้ายมาเล่นกับ อาร์เซนอล และประเดิมสนามในเกมกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในเกม คาราบาว คัพ ซึ่งแน่นอนว่า พ่อกับแม่ของเขาอยู่ในสนามเกมนั้นด้วย
“พ่อผมเป็นแฟนบอลของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และมันตลกร้ายตรงที่เกมแรกที่ผมลงสนามกับ อาร์เซนอล คือการเจอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และเราชนะ 6-0 มันคงแปลก ๆ นิดหน่อยสำหรับพ่อผม เพราะสัปดาห์สุดท้ายของผมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็คือการเจอกับ เวสต์บรอมวิช เช่นกัน”
หน้าร้อนที่ผ่านมา แรมสเดล แม้จะไม่สามารถช่วย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด รอดพ้นการตกชั้นได้ แต่ผลงานของเขาก็ดีพอจะเข้าตาของ แกเร็ธ เซาธ์เกต จนทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในการตัดตัวรอบ 33 คนสุดท้ายชุดฟุตบอลยูโร 2020 ก่อนที่จะกลับมาติดทีมอีกครั้งจากการที่ ดีน เฮนเดอร์สัน มีปัญหาบาดเจ็บ และถอนตัวออกไป
“ตอนแรกผมกับแฟนจะออกเดินทางไปพักผ่อนแล้ว แต่สุดท้ายก็อย่างที่รู้กัน ผมได้รับการเรียกตัวกลับมา มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่ง และตอนนี้ผมเองก็ต้องการที่จะเก็บช่วงเวลาเหล่านั้น และมุ่งมั่นต่อไปในเพื่อฟุตบอลโลกในปี 2022 ซึ่งผมหวังว่าผมจะเป็นส่วนหนึ่งของมันอีกครั้ง และหวังว่าจะได้ลงเล่นตัวจริง”
แรมสเดล ยังไม่เคยประเดิมสนามในทีมชาติชุดใหญ่เลยแม้แต่เกมเดียว แม้จะได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติในรอบล่าสุด แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด และ แซม จอห์นสตัน คือทางเลือกที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือกให้โอกาสลงสนามคนละหนึ่งเกม ในขณะที่ นิค โป๊ป นายด่านจาก เบิร์นลีย์ ก็คืออีกคนที่พร้อมจะมาแย่งโควต้าพื้นที่นายทวารชุดฟุตบอลโลกจากเขาอยู่เช่นกัน และแน่นอนการจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ อย่างแรกเลยก็คือการรักษาตำแหน่งนายทวารตัวจริงของอาร์เซนอล เอาไว้ให้ได้ต่อไป โดยถึงวันนี้เขาลงสนามไปแล้ว 7 เกมให้กับปืนใหญ่ในทุกรายการ และฤดูกาลนี้ยังคงอีกไกล
“โอกาสจะเป็นของผู้ที่พร้อมที่สุดเมื่อมันมาถึง” แรมสเดล ทราบเรื่องนี้ดี เพราะชั่วชีวิตของเขาก็คว้าโอกาสมาแล้วมากมายเช่นกัน
คู่แข่งของแรมสเดลในทีมชาติอังกฤษ