ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จของ “ปืนใหญ่”

คำว่า “สมบูรณ์แบบ” (Perfect) เป็นคำที่เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าแบบไหนคือ สมบูรณ์แบบของแต่ละคน ทุกคนมีความสมบูรณ์แบบในตนเอง ในความคิดของตนเอง แม้กระทั่งในเกมฟุตบอลสักเกมหนึ่ง การมองหาความ “สมบูรณ์แบบ” สักเกมก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย แต่สำหรับมุมมองของผู้เขียนในวันนี้ ชัยชนะเหนือ นอริช ซิตี้ ในเกมแกะกล่องของขวัญ ที่แฟนอาร์เซนอล มีความสุข อย่างยิ่ง

อาร์เซนอล ลงเล่นเกมที่ 19 ของฤดูกาลนี้ ในการออกไปเยือน แคร์โรว์ โร้ด ซึ่งก่อนเกมพวกเขาพบกับ “ข่าวร้ายและดี” เมื่อได้ตัวของ แซมบี้ โลกอนก้า และ ปาโบล มารี กลับมาจากการติดเชื้อโควิด-19 สวนทางกับ เซดริก โซอาเรส, ไอน์สลีย์ เมดแลนด์-ไนลส์ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ ติดเชื้อโควิด-19 รวมถึง คาลัม แชมเบอร์ส ที่ติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ รวมแล้ว 4 คน

ขณะที่ นอริช ต้องบอกว่าโชคร้ายเมื่อสถานการณ์ โควิด-19 ถล่มสนามซ้อมของพวกเขา ก่อนเกมนี้ ดีน สมิธ มีปัญหานักเตะติดโควิด-19 หลายคน ซึ่งหลายคนกว่าจะทราบผล กว่าจะได้ซ้อมก็เพียงก่อนเกมไม่ถึง 24 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นทำให้ความพร้อมของทีมจัดอยู่ในขั้นย่ำแย่ ไม่รวมถึงผลการแข่งขันที่ควานหาชัยชนะไม่เจอมาหลายเกมติดต่อกัน และหนักไปทางความพ่ายแพ้เสียด้วย

ชัยชนะ 5-0 ของปืนใหญ่ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ และเราขอเลือกประเด็นที่น่าสนใจออกมาให้อ่านกัน

การจัดทีมที่ไม่เปลี่ยนแปลงจนเกินไป

อาร์เตต้า ได้เจอกับทีมที่ใช่ของเขาแล้วในเกมพรีเมียร์ ลีก แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทีมอย่างไม่จำเป็น เกมนี้ พวกเขาเลือก เบน ไวท์ มารับงานแบ็คขวาแทนนที่ของ โทมิยาสุ และเลือก ร็อบ โฮลดิ้ง มายืนคู่กับ กาเบรียล มากัญเยส นอกนั้นใช้ตัวเลือกเดิมที่ชนะสามเกมรวดในลีกทั้งหมด

“วินัยเกมรับ” คือสิ่งแรกที่ อาร์เตต้า พยายามเข้ามาปรับทีมในยุคแรกมีการใช้งาน โซคราติส – ดาวิด ลุยซ์ ก่อนที่ต่อมาจะมี ปาโบล มารี และ กาเบรียล เข้ามาเสริมแนวรับ ซึ่งเขาใช้เวลาหาจุดลงตัวนานพอสมควร ก่อนที่ฤดูกาลนี้การมาถึงของ เบน ไวท์, อารอน แรมสเดล และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ เหมือนตัวต่อที่ลงตัวในแผนเกมรับ บวกกับการที่ได้ นิโกล่าส์ โจเวอร์ โค้ชเซตเพลย์คนใหม่เข้ามา ทำให้แนวรับพลังหนุ่มชุดนี้ โดดเด่นขึ้นเยอะในฤดูกาลนี้ อาจจะยังไม่เหนียวแน่นที่สุด แต่พวกเขาก็เจอสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มีในทีมแล้ว

เบน ไวท์ กับการเล่นแบ็คขวาครั้งแรกในการเล่นกับ อาร์เซนอล ทำให้เห็นที่เคยเป็นแบ็คขวามาบ้างสมัยกับ ไบร์ทตัน เขายังคงไม่ลืมวิชาเหล่านั้นไป การเล่นเกมรับถือว่าเหนียวแน่น จุดเด่นกับการเข้าบอลวันนี้ทำไม่พลาดเลย ส่วนเกมรุก วันนี้ต้องบอกว่า อาจจะไม่เร้าใจ หรือดันสูงแบบที่ โทมิยาสุ ทำเอาไว้ แต่เพราะวันนี้ บูคาโย่ ซาก้า ปั่นป่วนแนวรับเจ้าบ้านจนหลุดเป็นริ้ว ๆ ไวท์ ก็ไม่จำเป็นต้องดันเกมมากตามไปด้วย ตรงข้ามกับ ร็อบ โฮลดิ้ง ที่วันนี้ลงมาแทนในตำแหน่งตัวกลาง แม้จะไม่พลาดจนเสียประตู แต่ก็มีจังหวะคิดช้าทำช้าอยู่บ้าง 2-3 ครั้ง เห็นได้ชัดเลยว่า การลงเล่นร่วมกันของนักเตะสำคัญมาก ความเข้าใจในเกมมีผลอย่างยิ่งกับการเคลื่อนที่ของเกม โดยเฉพาะในส่วนถัดไป ซึ่งเป็นคีย์หลักตัดสินชัยในเกมนี้ นั่นคือเรื่องของการเพรสซิ่ง

การ “แกะเพรสซิ่ง”

ชัยชนะในวันนี้ของอาร์เซนอล ที่จบลงด้วยสกอร์ถล่มทลาย ปัจจัยหลักคือเรื่องของการเพรสซิ่ง ซึ่งฟุตบอลในยุคนี้เป็นเทรนด์ของโลกฟุตบอล “แนวคิดเสียบอลยาก แย่งคืนมาให้เร็ว” ไปจนถึงเรื่อของการ เซตบอลตั้งแต่นายทวาร กลายเป็นสิ่งที่หลายสโมสรนำมาใช้ อาร์เซนอล ก็เหมือนกัน พวกเขาใช้เวลามาตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้การคุมทีมของ อูไน อเมรี่ ที่เริ่มต้นการสอนให้ลูกทีมเล่นเซตเกมในแนวรับ และมาถึงในยุคของ อาร์เตต้า การเล่นตรงนี้ก็ยังคงถูกเคี่ยวกรำมาอย่างหนัก ไปจนถึงเรื่องของการเล่นระบบเพรสซิ่ง ตั้งแต่ตัวบนสุด ที่ต้องเป็น “หัวหอกในเกมรับ” ที่ต้องไล่บอลตั้งแต่คนแรก ไล่ลงไปจนถึงกองกลาง ทำกันเป็นระบบระเบียบ สอนจนฝังให้เป็นระบบอัตโนมัติกันได้มากเท่าไรยิ่งดี

เกมวันนี้ในเกมบุก อาร์เซนอล เซตเกมในแนวรับ เจอกับ นอริช ที่เล่นเพรสซิ่งได้ไม่เข้มข้นเท่า อาร์เซนอล เล่นกันไม่สุด ไล่กันไม่หนักพอ อาร์เซนอล ก็สามารถออกบอลได้ง่ายมาก ตลอด 90 นาที อาร์เซนอล พลาดในเรื่องเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น และ นอริช ก็ฉวยความผิดพลาดเหล่านั้นเอาไว้ไม่ได้อีกต่างหาก ในทางกลับกัน ในเกมรับ อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ บัญชาเกมรับด้วยการนำเพื่อนวิ่งไล่กันตั้งแต่ตัวบน ไล่บีบพื้นที่ ร่วมกับตัวรุกคนอื่น ไปจนถึงคู่กลางอย่าง ชาก้า – ปาเตย์ ที่งานตัดบอลเป็นงานถนัดของพวกเขาอยู่แล้ว วิธีเล่นแบบนี้ นอริช แก้ไม่จบกระบวน และกลายเป็นเสียบอลกลางทางหลายต่อหลายครั้ง บวกกับเรื่องต่อมาที่ทำให้พวกเขา “พัง” ก็คือปัญหาในเกมรับ

ความหละหลวมในเกมรับของคู่แข่ง

การเล่นเกมรับของ นอริช พวกเขายืนกันเป็นแผงแบ็คโฟร์ ชนกับสี่ตัวรุก อาร์เซนอล ที่เล่นกันเหมือน มีกองกลางสี่คน เพราะ ลากาแซตต์ ไม่ได้ “ยืนรอยิง”ในพื้นที่สุดท้าย ตรงกันข้ามกลับลงมาในไลน์ของกองกลางตัวรุก และเชื่อมเกมกับคนอื่น ก่อนจะวิ่งสอดเข้าไปยังพื้นที่อันตราย หรือให้ มาร์ติน เออเดการ์ด สอดไปขึ้นไปแทนตนเอง

การโจมตีของ อาร์เซนอล มีรูปแบบหลักสามแบบ 1. เล่นโจมตีทางซ้ายด้วย มาร์ติเนลลี่ หรือใช้การสอดเติมเกมรุกของ คีแรน เทียร์นีย์ หาจังหวะยิง หรือจังหวะเลี้ยงลุยสุดเส้นแล้วเปิดหักเข้ากลางให้ตัวกลางวิ่งหาพื้นที่ว่างบริเวณจุดโทษเข้าทำประตู 2. เล่นทางขวาด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ บูคาโย่ ซาก้า และสุดท้ายคือการเล่นของลากาแซตต์ที่ดึงความสนใจกองหลังตัวกลางให้ โอซาน คาบัค และ เบน กิ๊บสัน ให้ไม่ได้อยู่สบายต้องคอยดูไม่ห่าง โดยมี มาร์ติน เออเดการ์ด รับบทเพลย์เมคเกอร์ ออกบอลในพื้นที่สุดท้ายเข้าทำ เกมวันนี้ทั้ง 5 ประตู ได้มาจากการเล่นในลักษณะแบบนี้ถึง 4 ประตูด้วยกัน และ เออเดการ์ด มี 2 แอตซิสต์ในวันนี้

เกมรับของ นอริช ไม่ว่าจะ แม็กซ์ อารอนส์ หรือว่า แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ เจอกับ มาร์ติเนลลี่ และ ซาก้า ที่นอริช กลับปล่อยให้หลายจังหวะเป็นการดวล 1-1 ชั่วโมงนี้ ตัวรุกวัยรุ่นปืนโตกำลังห้าว และเกมนี้พวกเขาสองคนสร้างจังหวะจากเพลย์แบบนี้ และยิงประตูกันได้ด้วยทั้งคู่ น่าเสียดายที่ มาร์ติเนลลี่ เสียล้ำหน้าไปจังหวะยิงของเขา ส่วน ซาก้า กดไปสองประตู

มองสถิติของเกมนี้ อาร์เซนอล เหนือกว่าแทบทั้งหมด จำนวนการยิง / เปอร์เซ็นต์การครองบอล / ผ่านบอล ไปจนถึงผลการแข่งขันชนะแบบท่วมท้น และเก็บคลีนชีตได้อีกเกม เป็นเกมที่ “สมบูรณ์แบบ” ที่สุดเกมหนึ่งในฤดูกาลนี้ของพวกเขา กับชัยชนะที่กลายเป็นการมอบของขวัญ “ส่งท้ายปี” เรียบร้อย เพราะในเกมสุดท้ายของปี ในการพบกับ วูลฟ์ส ถูกเลื่อนออกไปแน่นอนจากการระบาดของโควิด-19 นั่นเอง

อาร์เซนอล ยังคงอยู่ในเส้นทางของการลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก และในอีกสองรายการฟุตบอลถ้วยที่พวกเขายังคงหวังได้ถึงความสำเร็จในบั้นปลาย เป็นการจบปี 2021 ที่เต็มไปด้วยความสุข ชื่นมื่น และแฟนบอลทุกคนหวังว่าปี 2022 ทีมจะต่อยอดผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ได้ต่อไป แม้ว่าเกมแรกของปีใหม่ จะต้องพบกับ “แชมป์เก่า” อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ตาม