ความพ่ายแพ้ของ อาร์เซนอล ในเกมเอฟเอ คัพ รอบสาม นำมาซึ่งความผิดหวัง และความเซ็งของแฟนบอลอาร์เซนอลกันยกใหญ่ หลังจากที่พวกเขาเพิ่งผ่าน ดราม่าเกม ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้ในวันขึ้นปีใหม่
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ นับเป็นที่สองในรอบ 26 ปีหลังสุดที่พวกเขาตกรอบสาม ซึ่งเป็นรอบแรกสำหรับทีมในพรีเมียร์ ลีก จะลงเล่น และมันก็เป็นทีมเดียวกันทั้งสองครั้งที่เอาชนะพวกเขาได้ นั่นก็คือ นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ “เจ้าป่า” ที่ทุกวันนี้นานแล้วที่ยังคงวนเวียนอยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และนี่คือประเด็นหลังเกมที่น่าสนใจจากความพ่ายแพ้ในเกมนั้น
การจัดทีมของ อาร์เตต้า “ทางเลือกที่จำกัด”
เกมนี้ อาร์เซนอล ขาดผู้เล่น 8 คนในเวลาเดียวกัน เป็นเกมแรกหลังจาก 4 คน (ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง, นิโกล่าส์ เปเป้, โมฮัมเหม็ด เอลเนนี่ และ โธมัส ปาเตย์) ไปร่วมภารกิจทีมชาติใน แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ขณะที่อีก 4 คน เจอปัญหาบาดเจ็บ ทั้ง เอมิล สมิธ โรว์ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ ส่วนอีกสองคนคือ กรานิท ชาก้า และ โฟลาริน บาโลกุน ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการกักตัว
การเสียนักเตะ 4 คนแรกเป็นสิ่งที่เตรียมใจไว้นานแล้ว แต่ 4 คนหลังคือสิ่งที่เกินความคาดหมายของทีมงานอาร์เซนอลแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของโควิด-19 ซึ่งทีมพยายามมาตลอดในการป้องกัน สุดท้ายสิ่งที่มองไม่เห็นก็เข้ามาถึงแคมป์ของทีมจนได้ และที่แย่กว่านั้นคือ คนที่หายไปคือ กองกลางเชิงรับ ซึ่งเป็นทรัพยาการหายากของทีม ณ เวลานี้ และมันส่งผลต่อการจัดทีมทั้งหมดทันที
อาร์เซนอล มองเกมนี้ ไม่ใช่เกมง่าย และไม่ได้มองถึงความประมาทอย่างแน่นอน แต่การจัดทีมของพวกเขา ก็ต้องคำนึงถึงการเตรียมทีมไปอีก 4 วันข้างหน้า ซึ่งมีเกมเยือนแอนฟิลด์ ในคาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศเกมแรกรอคอยอยู่ การโรเตชั่นจึงมีบางส่วนที่เข้ามาใช้ แต่ก็ยังใส่ทั้ง เบน ไวท์ ในแนวรับ, สามตัวรุกที่มีทั้ง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, มาร์ติน เออเดการ์ด และ บูคาโย่ ซาก้า ลงสนามมาทั้งหมด ยืนยันได้ว่าทีมไม่ประมาท
ในวันที่ผู้เล่น 8 คนหายไปจากปัญหาต่าง ๆ ในวันที่ กาเบรียล มากัญเยส ติดโทษแบน อาร์เซนอล เจอปัญหาสมดุลของทีมอย่างชัดเจน พวกเขามีนักเตะแนวรับพร้อมลงสนามมากพอจะจัดเป็นสองทีม แต่กองกลาง และกองหน้าพวกเขากลับมีทางเลือกน้อยจนเรียกว่าแทบจะพอดีตัวให้ลงเล่น
การเรียกตัว มาร์ค บีเรธ, โอมาร์ ฮัทชิสัน และ ซาลาห์ อูลาด สามนักเตะของทีมระดับอายุต่ำกว่า 23 ปีขึ้นมานั่งสำรองก็เป็นอะไรที่ชัดเจน รวมถึงการเลือก ชาร์ลี ปาติโน่ กองกลางวัยเพียง 18 ปี ลงเล่นตัวจริงเกมแรกกับทีมชุดใหญ่ ก็ยิ่งตอกย้ำว่าทรัพยากรของทีมกำลังขาดแคลน และมันส่งผลกับแท็คติกการเปลี่ยนเกม ในช่วงที่ต้องการเกมรุก หรือทางเลือกในแดนบน พวกเขาไม่มีทางเลือกที่น่าไว้ใจเลย นอกจาก อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ ที่พักเอาไว้ เพราะเป็นคนเดียวในกองหน้า ส่วนอีกสามคนทั้ง โอบาเมยอง (ฟอร์มตก และไปเล่นทีมชาติแล้ว), เอนเคเธีย (ผลงานแย่มาก) และ บาโลกุน (ควรจะได้มีชื่ออยู่ในเกมนี้ แต่ติดโควิด-19) ดังนั้น เอ็ดดี้ เอนเคเธีย จึงต้องลงสนามมาเป็นกองหน้าเป้า
เมื่อตัวเลือกหายไป 8 คน ทีมก็ต้องเลือกคนที่คิดว่าจะโอเคที่สุดลงสนาม แต่การเปลี่ยนแปลงทีมที่ต้องบอกว่า 11 คนนี้ ไม่เคยลงเล่นร่วมกันแบบนี้ในเกมแข่งขัน แบ็คโฟร์ ชุดนี้เล่นด้วยกันน้อยมากในการแข่งขันจริง คู่กองกลาง ปาติโน่ และ โลกอนก้า เปิดซิงการเล่นด้วยกันครั้งแรกในวันนี้ สิ่งที่ออกมาคือ ความไม่เข้าใจกันในการรับส่งบอล ซึ่งมันส่งผลไปยังสามตัวรุกด้านบนด้วย แม้จะลงซ้อมด้วยกันมาบ้างก่อนเกมนี้ แต่การแข่งขันคือการแข่งขัน ไม่ใช่การซ้อม คู่แข่ง ที่มุ่งมั่น ดุดัน และประสบการณ์ในเกม รวมถึงความเข้าใจกันในทีมมากกว่า เล่นกันนานไป อาร์เซนอล เสียเปรียบทันที
ระบบการเล่นที่วันนี้ อาร์เซนอล ส่ง ปาติโน่ ลงมาแบบไม่มีทางเลือกมากนัก การขาดหายไปของ กรานิท ชาก้า จากโควิด-19 คือสิ่งที่ อาร์เตต้า ไม่คาดคิดมาก่อน หรืออาจจะคิดไว้แล้ว แต่เมื่อมันมาเกิดในวันที่ ปาเตย์ และ เอลเนนี่ ไม่อยู่ บวกกับ เมดแลนด์-ไนลส์ ก็ย้ายออกไปแล้ว ปาติโน่ จึงถูกดันขึ้นมาเล่นในตำแหน่งนี้แทน การเลือกใช้ระบบ 4-1-4-1 เพราะ ปาติโน่ ที่เล่นกองกลางเป็นนักเตะสร้างสรรค์เกมรุก ในระหว่างเกมยืนสูงกว่า โลกอนก้า พาร์ทเนอร์ของตนเองชัดเจน ตรงนี้กลายเป็นปัญหาย่อยลงมาสองส่วน
ความมั่วซั่วของนักเตะอาร์เซนอล และความยอดเยี่ยมของ ฟอเรสต์
อย่างที่บอกข้างต้น อาร์เซนอล ไม่ได้จัดทัพประมาทคู่แข่ง แต่ด้วยปัจจัยจำกัดสิ่งที่ออกมาคือ เมื่อเล่นไม่เข้าใจกัน ส่งผลกันผิดพลาด ไม่อาจคุมแดนกลางได้ และหลายคนผลงานต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก สิ่งที่ตามมาคือการ โดนขึงเกมรุกเข้าใส่ ฟอเรสต์ ศึกษาการเล่นของ อาร์เซนอลมาค่อนข้างดี พวกเขาเลือกใช้ วิงแบ็คสองข้าง เล่นกับสองตัวรุกด้านข้างได้ดีมาก ฝั่งซ้ายเน้นสายประสบการณ์ ฟิลิปส์ ซิงเคอนาเกล ปีกเดนมาร์ก คล่องตัว เล่นร่วมกับวิงแบ็คซ้าย แจ็ค โคลแบค อดีตนักเตะนิวคาสเซิ่ล อาจไม่เร็วอะไร แต่เล่นบอลแน่นอนดี ส่วนทางขวา ดีเจด สเปนซ์ โดดเด่นมากในเกมรับ ที่หยุด มาร์ติเนลลี่ ได้อยู่หมัด และออกบอลให้ เบรนแนน จอห์นสัน ปีกวัยรุ่นที่ก็สปีดต้นดีเหมือนกัน ทำลายเกมรับอาร์เซนอลได้ตลอด
อาร์เซนอล คุมแดนกลางไม่ได้ แถมยังก่อความผิดพลาดไม่เลิกกับการเสียบอลง่ายในแดนกลาง เมื่อ ฟอเรสต์ ได้บอล พวกเขาวางบอลเร็วไปข้างหน้า ริมเส้นเลี้ยงเข้าหา เจาะเข้าทำ โดยเฉพาะทางฝั่งซ้าย เราจะเห็นเลยว่า ร็อบ โฮลดิ้ง เจอเผาเครื่องไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะเร็วไม่ทันปีกคู่แข่ง จังหวะเกมรับยืนต่ำ เน้นแพคให้แน่น เมื่อ อาร์เซนอล ตั้งเกมไม่ได้ คนในสนามที่ลงไปก็เล่นด้วยกันไม่บ่อย แถมยังผิดพลาดกันเองก็ยิ่งเข้าทาง
วันนี้ อาร์เตต้า ให้โอกาสกับ เอ็ดดี้ เอนเคเธีย เป็นอย่างมาก เขาไม่เคยปิดบังความต้องการในการอยากต่อสัญญากับกองหน้าร่างเล็กคนนี้ และวันนี้ซื้อใจเด็กด้วยการจัดลงสนาม ที่ด้านหลังเขามีสามตัวรุกที่ใช้ในลีกลงมาคอยหาโอกาสให้กับเขา แต่ เอนเคเธีย ก็ยังไม่สามารถสร้างโอกาสได้มากพอ ส่วนหนึ่งจากระบบการเล่นด้วย แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเขาเองด้วย เอนเคเธีย แทบจะอยู่ในกรอบมากกว่าออกมาหาจังหวะรับบอลหน้าเขตโทษ เพื่อเชื่อมเกมในพื้นที่อันตรายหน้าเขตโทษ ซึ่งต่างกับ ลากาแซตต์ ชัดเจนในส่วนนี้ พอเขาไม่ได้บอลก็กลายเป็นหายไปจากเกม พอได้บอลก็มุ่งมั่นจะหาจังหวะยิง กลายเป็นไม่เข้ากับทีมไปอีก สุดท้ายมันเลยกลายเป็นอะไรที่ผิดพลาดไปหมด แม้กระทั่งจังหวะที่ได้โอกาสโหม่งยังกะจังหวะพลาดอีก เมื่อรวม ๆ กันออกมาแล้ว ทั้งความอ่อนด้อย เอนเคเธีย และเกมรุกทั้งหมดที่มี และเกมรับที่มีวินัยอย่างดีของเจ้าบ้าน จึงออกมาเป็นโอกาสยิง 10 ครั้ง เข้ากรอบ 0 อย่างที่ออกมา
ท้ายเกมได้เห็นจังหวะหงุดหงิดของ เอนเคเธีย และการถอดใจของเขาที่วันนี้อะไรก็ไม่เป็นใจ ก็คงถึงเวลาที่ อาร์เตต้า ควรยอมรับได้แล้วว่าเด็กที่เขาหวังจะปั้นต่อ อาจไม่เหมาะกับสิ่งที่เขาคิดอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ แต่มันเป็นมาหลายเกมแล้วที่ เอนเคเธีย เงียบหาย แม้แต่ในวันที่ถล่ม ซันเดอร์แลนด์ 5-1 เขายิงแฮตทริคได้ ก็มีบางช่วงที่หายไปจากเกมเช่นกัน ด้วยสไตล์ของเขา ด้วยสรีระที่ไม่ใช่ตัวสูงใหญ่อะไร การจะฝากบอลไปถึงเขา และเขาต้องลุยเข้าไปจัดการในพื้นที่สังหาร จึงเป็นเรื่องยากยิ่ง หากเจอกับกองหลังระดับท็อป หรือประกบติดอย่างเช่นในเกมนี้ อย่างไรก็ตาม เอนเคเธีย ไม่ใช่ นักเตะที่ไม่ดี แต่สไตล์ของเขาอาจจะไม่เหมาะกับสิ่งอาร์เซนอลกำลังทำอยู่ มันก็เท่านั้น
ในวันที่พ่ายแพ้ ทุกครั้ง อาร์เซนอล หรือทุกทีมก็มักจะต้องโดนเสียงก่นด่าวิจารณ์กันหนักหน่วงอยู่แล้ว อาร์เตต้า ในเกมนี้ก็ไม่รอดแน่นอน เพราะด้วยปัญหาในจำนวนนักเตะที่หายไปทั้งแบบที่คาดเดาได้ และคาดเดาไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ โค้ช ต้องบริหารจัดการให้ได้ ดังนั้นความผิดพลาดที่ออกมา อาร์เตต้า จึงต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยเร็ว โดยเฉพาะปัญหากองกลางที่ ณ เวลานี้ เหลือเพียง แซมบี้ โลกอนก้า และ ชาร์ลี ปาติโน่ สองคนเท่านั้น กับอีกสามเกมที่จะพบกับ ลิเวอร์พูล สองเกม และ สเปอร์สอีกหนึ่งเกม มองแล้วสาหัสแน่นอน กับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาลนี้ และบอร์บริหาร และ เอดู กาสปาร์ ผู้ซึ่งดูแลเรื่องการซื้อขายของทีม จำเป็นต้องเร่งดำเนินการในการเสริมทีมโดยเร็ว ก่อนที่จะกลายเป็นจุดพลิกผันของฤดูกาลนี้ และมันคงน่าละอายที่กลายเป็นว่า ทีมจะพลาดเป้าหมาย เพราะผู้เล่นไม่พอในบางตำแหน่งเพราะไปเล่นทีมชาติ และติดโควิด-19
อาร์เซนอลเหลืออีก 18 เกมในพรีเมียร์ ลีก และอีกอย่างน้อย 2 เกมในคาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ รวม 20 เกมเท่านั้นในฤดูกาลนี้ หากเข้าชิงชนะเลิศจะเป็น 21 เกม ซึ่งจะตัดสินว่าฤดูกาลนี้ กับสิ่งที่ทำมาตลอด ตรงตามเป้าหมายหรือไม่ ณ เวลานี้ยังอยู่ในเส้นทางที่เป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ ความพ่ายแพ้ในเกมเอฟเอ คัพ เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง สมควรตกรอบแบบไม่มีข้อแก้ตัว แต่การพ่ายแพ้นี้ต้องไม่สูญเปล่า และหวังว่าทีมจะหาทางแก้ไข และกลับมาสู่เส้นทางที่ควรเป็นโดยเร็วที่สุด