แกรี่ เลวิน เป็นหนึ่งสมาชิกยุคแรกของ จอร์จ เกรแฮม ที่เข้ามารับงานคุมทีมอาร์เซนอล และอยู่ในทีมในวันแรกที่สื่ออังกฤษเล่นประเด็นที่ว่า “Arsene Who?” กับการเข้ามารับงานผู้จัดการทีมคนใหม่ของอาร์เซนอล และเป็นคนแรกที่เป็น ผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่คนอังกฤษ และเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายกับสโมสรแห่งนี้
ในช่วงทศวรรษที่ 90 อาร์เซนอลขึ้นชื่อเรื่องของการเป็น “จอมดื่ม” ของวงการพวกเขาถึงขั้นมีการตั้งกลุ่ม “Tuesday Club” เมากันทุกวันอังคาร นำโดย โทนี่ อดัมส์ ที่ต่อมาออกมายอมรับว่าตัวเองต้องเข้ารับการบำบัดการติดแอลกอฮอลล์ ไปจนถึง เรย์ พาร์เลอร์ รุ่นน้องสุดรักของเขาที่เคยเมาแล้วไปก่อเรื่องอะไรด้วยกันมามากมาย
เดนนิส เบิร์กแคมป์ เคยกล่าวว่าในปีแรกที่ย้ายมาอาร์เซนอล เขาตกใจมากว่าทำไมนักเตะอาร์เซนอลหลายคนกล้าดื่มกันตั้งแต่สาย ๆ ก็เอาแล้ว บ่ายก็มาซ้อมกันทั้งที่เพิ่งดื่มกันมาก็มี จนกระทั่งเวนเกอร์เข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในแบบที่ “นักกีฬาอาชีพ” ควรทำ
“ผมต้องบอกว่าอาร์เซนอล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงมันควรเป็นแบบนั้น เราเปลี่ยนแนวคิดจากการที่ว่า “ตราบใดที่คุณพร้อมลงเล่น และทำผลงานได้ดีในเกมสุดสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นตลอดสัปดาห์คุณจะไปทำอะไรเราไม่สนใจหรอก” หรือกระทั่งว่าผู้จัดการทีมก็จะมาถามกับเราแค่ว่า คนนี้บาดเจ็บ แล้วเขาต้องพักนานแค่ไหน แล้วใครพร้อมบ้างในวันเสาร์นี้ที่เรามีแข่ง พอปิดฤดูกาลก็ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนไปทำอะไรบ้าง ดูแลตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้หรอก แต่พอมาเป็น อาร์แซน เวนเกอร์ เขามีปรัชญาว่า เราลงซ้อมเพื่อลงเล่น ดังนั้นคุณต้องซ้อมให้ได้ก่อน ถ้าคุณลงซ้อมแล้วยังไม่ได้เรื่อง คุณไม่มีทางเล่นได้ดีหรอก ดังนั้นทุกการซ้อม ต้องซ้อมอย่างเข้มข้นทั้งแนวทางการเล่นส่วนตัว และเล่นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีม เขาเข้ามาปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักเตะ การเตรียมตัวของนักเตะในการลงซ้อม เขาเปลี่ยนอะไรมากมาย การไดเอทของผู้เล่น, การต้องมารวมกันในโรงแรมหนึ่งคืนก่อนเตะเกมเหย้า หรือการนำเรื่องของโยคะ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลนักเตะ”
อาร์เซนอล ได้รับการระบุว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ “เปลี่ยนแปลง” อะไรหลายอย่างในวงการฟุตบอลจากการเข้ามาของ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ซึ่งผ่านการทำงานมาแล้วในฝรั่งเศส รวมถึงในญี่ปุ่น ก่อนย้ายมาที่อาร์เซนอล ซึ่ง เลวิน ก็ยืนยันว่าเขาเห็นด้วยเช่นนั้น ยังไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกมากมายในทีมจากการเข้ามาของเวนเกอร์ และนั่นคือเหตุที่ว่าทำไม เวนเกอร์ จึงเป็นมากกว่าผู้จัดการทีม
“ผมคิดว่า อาร์เซนอล เป็นทีมแรกเลยล่ะที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเตรียมทีมใหม่หมด ทุกวันนี้มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะทำกันหมดทุกทีม แต่ ณ เวลานั้น เรามาคุยกันเรื่องของ สารอาหาร, การไดเอท และวิทยาศาสตร์การกีฬา มันเป็นเรื่องใหม่มาก ผมมั่นใจว่าเราเป็นทีมแรกที่ทำอะไรแบบนี้ อาร์แซน เป็นคนแรกที่เอาเรื่องนี้มาพูดถึงแบบจริงจังและลงมือทำ ทุกวันนี้ทุกสโมสร มีนักโภชนาการดูแลเรื่องการกินของนักเตะแทบทั้งนั้น”
ก่อนหน้านั้นมีข้อมูลออกมาว่า อาร์เซนอล ไม่มีสนามซ้อมเป็นของตัวเอง พวกเขาเช่าพื้นที่ของมหาวิทยาลัยลอนดอนในการซ้อมทีม และแม้กระทั่งในปีแรกที่พวกเขาลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขายังไปยืมสนามซ้อมของ วัตฟอร์ด มาใช้ซ้อมทีม ก่อนที่สุดท้าย เวนเกอร์ จะตัดสินใจอะไรบางอย่างยื่นเสนอต่อบอร์ดบริหาร นั่นคือการสร้างสนามซ้อมใหม่ อาร์เซนอล เทรนนิ่ง เซนเตอร์ หรือที่แฟนบอลรู้จักกันในนาม ลอนดอน โคลนีย์ ที่ว่ากันว่า เงินการสร้างสนามซ้อมมาจากการขาย นิโกล่าส์ อเนลก้า ไปให้กับ เรอัล มาดริด ในปี 1999 โดยสนามซ้อมมีมูลค่า 10 ล้านปอนด์ และเปิดใช้งานครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1999 และมันคือสนามซ้อมที่ดีที่สุดในเวลานั้น
“เราเคยลงซ้อมในสนามซ้อมของวัตฟอร์ด ตอนเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเวนเกอร์มองว่าทีมควรจะหาสนามซ้อมเป็นของตนเองได้แล้ว พอไปที่นั่น เราได้เห็นว่ามันมีพื้นที่แปลงไม่ห่างกันนัก เป็นทุ่งกว้างสำหรับทำฟาร์ม เวนเกอร์เลยยื่นข้อเสนอในการสร้างสนามซ้อมใหม่ของทีมตรงพื้นที่ตรงนั้น และมันก็กลายเป็นสนามซ้อมของอาร์เซนอลจนถึงทุกวันนี้”
หมายเหตุ: สนามซ้อมของวัตฟอร์ด และ อาร์เซนอล ทุกวันนี้ก็ยังคงติดกัน ถึงขั้นที่ว่า เบน ฟอสเตอร์ แซวว่า บางทีหากตั้งใจเตะบอลหากันมันก็อาจจะถึงกันก็ได้นะ แถมตอนพวกเขาตกชั้น บอลของพวกเป็นบอลของเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ของ อาร์เซนอล เป็นบอลพรีเมียร์ลีก ถ้าบอลของอาร์เซนอล มาถึงสนามซ้อมพวกเขา พวกเขาจะไม่คืนให้นะ และนั่นก็เป็นเหตุว่า ทำไมมันถึงมีข่าวออกมาบ่อยครั้งว่า อาร์เซนอล กับ วัตฟอร์ด มักจะมีเกมอุ่นเครื่องกันทั้งในระดับเยาวชน หรือทีมชุดใหญ่
“ในความเห็นของผมมันไม่ใช่การปฏิวัติ แต่มันเหมือนเป็นวิวัฒนาการของฟุตบอลมากกว่า เวนเกอร์ เข้ามา พร้อมกับแนวคิดใหม่ที่เขามี เสนอไอเดีย เวลานั้นทีมมีนักเตะอายุมากหลายคน และเขาต้องการจัดการในเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องของการปล่อยตัว แต่เป็นการทำอย่างไรให้พวกเขาสามารถยืดระยะการเล่นฟุตบอลออกไป จะเปลี่ยนทำไมในเมื่อ พวกเขายังลงเล่นได้ดี และพวกเขาเหล่านั้นต่างเชื่อว่าการทำตามในสิ่งที่เวนเกอร์บอกจะทำให้พวกเขาเล่นฟุตบอลต่อไปได้อีกหลายปี และยังเป็นแนวทางการในการดูแลตนเองในแบบมืออาชีพได้ด้วย”
“ในช่วงแรกของการคุมทีมของ เวนเกอร์ โบโร่ พรีโมแรค คือโค้ชคู่ใจของเวนเกอร์ ขณะที่ แพท ไรซ์ คือมือขวาที่คุ้นเคยกับ อาร์เซนอล เป็นอย่างดี และทำงานร่วมกันจนถึงปี 2014 ในยุคนั้น ดอน ฮาว อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล กลับมาสู่ทีมในปี 1997 ในฐานะโค้ชของทีมเยาวชน ฮาว ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีม และโค้ชมือดีของอังกฤษ และสไตล์การทำทีมของเขาก็คล้ายกับโค้ชอังกฤษทั่วไป คือการตะโกนสั่งการลูกทีม จนครั้งหนึ่งเวนเกอร์มานั่งดูเกมกับ ไรซ์ และเวนเกอร์ก็ถาม ไรซ์ ว่า ทำไมโค้ชอังกฤษชอบตะโกนกันเหลือเกิน แพท ไรซ์ เลยตอบไปว่า โค้ชก็พยายามบอกว่า นักเตะควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร สอนกันไปด้วยไงล่ะ แต่ อาร์แซน กลับตอบกลับว่า แพท นักเตะที่ดีจะทำพลาดแค่ครั้งเดียว พวกเขาจะไม่พลาดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง และทำไมคุณต้องไปตะโกนสั่งอะไรมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ”
“อาร์แซน ชอบมากกับการเดินไปคุยไปกับผู้เล่น เขาไม่ได้ชอบในการมาเผชิญหน้ากับผู้เล่นพร้อมกันและพูดไล่ไป แต่เขาชอบเดินคุยกับนักเตะตัวต่อตัว ถามไปเรื่อย เกี่ยวกับความรู้สึก ความพร้อม ความพอใจในฟอร์มตัวเองในเกมที่ผ่านมา และก็จะบอกว่าตัวเขาคิดเห็นอย่างไรกับฟอร์มของนักเตะ อะไรที่เขาไม่ชอบใจ อะไรที่อยากให้ปรับปรุง คุยกันแบบนี้ทุกคน ดังนั้นตลอดสัปดาห์ คุณจะเห็นภาพเขาคุกเข่า ถือนาฬิกาจับเวลา มองนักเตะลงซ้อม หลังจากนั้นก็จะเลือกนักเตะที่เขาคิดว่าเขาต้องการคุยด้วยไปคุยเป็นการส่วนตัว ไปสอนทีละคน เราไม่ค่อยเห็นเขาสติแตก หรืออารมณ์เสียหรอก แต่มันก็เกิดขึ้นนะ อย่างเกมที่เราแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6-1 หรือเกมที่แพ้ลิเวอร์พูล 4-0”
เรื่องราวของเวนเกอร์ กับการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็น “เวนเกอร์ ทีม” ยังไม่จบ…โปรดติดตามตอนต่อไป