อาร์แซน เวนเกอร์ กล่าวกับ บีอิน สปอร์ต เกี่ยวกับนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2006 ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่ อาร์เซนอล และ อาร์แซน เวนเกอร์ ไปถึงจุดนั้น โดยพบกับบาร์เซโลน่า ในวาระที่เกมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก กำลังจะกลับมาใช้งานสนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ในอีกวาระหนึ่ง
สต๊าด เดอ ฟรองซ์ (Stade De France) หนึ่งในสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เคยผ่านงานน้อยใหญ่มาแล้วมากมาย โดยในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ สนามแห่งนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วสองครั้งในปี 2000 และ 2006 ก่อนที่จะได้รับโอกาสอีกครั้งในปี 2022 จากการที่ประเทศรัสเซีย เจ้าภาพเดิมของแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ จะไม่สามารถจัดการแข่งขันได้เนื่องจากถูกคว่ำบาตรทางการเมืองจากสถานการณ์ระหว่าง ยูเครน และ รัสเซีย
เกมในปี 2006 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ 2-1 สำหรับอาร์เซนอลที่มีต่อบาร์เซโลน่า โดยอาร์เซนอล เหลือ 10 คนตั้งแต่ 18 นาทีแรก จากการโดนใบแดงของ เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารของทีม และทำให้ทีมส่ง มานูเอล อัลมูเนีย นายทวารสำรองลงมาแทนที่ โดยเขาเลือก โรแบร์ ปิแรส เป็นผู้โชคร้ายที่โดนเปลี่ยนออก โดยเวนเกอร์ ยืนยันว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจไปเมื่อ 16 ปีที่แล้วมีอะไรที่ผิดพลาดมากกว่าเรื่องนั้นในเกมที่ปารีส
“อย่างแรกเลยคือเราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้น โรแบร์ ปิแรส ที่เกิดในปี 1973 เราลงเล่นเกมนั้นตอนปี 2006 ในการเจอกับบาร์เซโลน่า ซึ่งบางช่วงเวลาคุณต้องเล่นเกมรับ ปิแรส เป็นผู้เล่นในเกมรุก เขาเป็นคนที่เล่นเกมรุกแบบเต็มตัว”
“ในแดนบนเรามี อเล็กซานเดอร์ เคล็บ ที่เป็นผู้เล่นที่ทำงานหนักอยู่ทางด้านขวาของสนาม และมีปิแรสอยู่ทางซ้าย เช่นเดียวที่ เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก เล่นได้ ผมต้องตัดสินใจ ณ วินาทีนั้นว่าจะเป็น เคล็บ, ลุงเบิร์ก หรือว่าปิแรส ในที่สุดผมคิดว่าต้องเก็บคนที่เต็มไปด้วยพละกำลังมากที่สุดอยู่ในสนาม”
อย่างไรก็ตามเวนเกอร์ยืนยันในความคิดของตนเองว่าเขาเลือกไม่ผิดในสถานการณ์นั้น เมื่ออาร์เซนอลได้ประตูนำในนาทีที่ 37 ของเกม แต่เป็นการเปลี่ยนตัวครั้งต่อมาของเขา เมื่อเลือกถอด เชส ฟาเบรกาส ออกจากสนาม แทนที่ด้วย มาติเยอ ฟลามินี่ ในนาทีที่ 74 ก่อนที่สองนาทีต่อมา พวกเขาจะโดนตีเสมอโดย ซามูเอล เอโต้ และอีกสี่นาทีต่อมาถูกแซงยิงประตูชัยจาก ฆูเลียโน่ เบเลตติ ในช่วงนาทีที่ 80
“สิ่งที่ผมผิดพลาดไม่ใช่ในจังหวะนั้น ถ้ามันจะพลาดมันคือการพลาดในช่วงต่อมาของเกม ในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ผมเลือก ฟลามินี่ ลงมาแทน ฟาเบรกาส เพราะผมต้องการเกมรับ บางทีมผมควรจะเลือกการใช้งานกองหลังตัวกลางเพิ่มอีกคนในเวลานั้น และเก็บทรงกองกลางเอาไว้ เลือกเคล็บออกมาและเติมกองหลังตัวกลางมาแทน และเล่นเกมรับให้นานที่สุดในช่วง 13 นาทีสุดท้าย”
“บางครั้งเมื่อเหลือ 10 นาที คุณต้องการเพียงแค่ให้ทีมเล่นในและมีสมาธิกับสิ่งที่เราเลือกแล้ว ดังนั้นในภาพรวม ๆ ผมโดนตั้งคำถามมากมายจากการถอดปิแรสออกจากสนาม แต่ถ้าหากผมสามารถมีโอกาสทำแบบนั้นอีกครั้ง มันก็ไม่แน่ว่าผมจะเปลี่ยนความตั้งใจไปจากเดิมหรือเปล่า”
ทั้งนี้ โรแบร์ ปิแรส ออกมายอมรับในภายหลังว่า การโดนเปลี่ยนตัวออกในเกมนั้น ที่ซึ่งเขากำลังอยู่ในช่วงของการตัดสินใจว่าจะอยู่กับทีมต่อไป หรือย้ายไปเล่นกับ บียาร์เรอัล ที่เขาได้รับข้อเสนอเข้ามาแล้วด้วยสัญญาของเขากำลังจะหมดลง การตัดสินใจเด็ดขาดของเขาเกิดขึ้นหลังการโดนเปลี่ยนตัวในครั้งนั้น
“มันคือ 18 นาที ที่ผมจะไม่มีวันลืมได้เลย ตอนนั้นผมได้รับข้อเสนอจากบียาร์เรอัลมาแล้วนะ แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกมรอบชิงชนะเลิศมันทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างมาก มันคือจุดจบของผมกับทีม ผมตัดสินใจหลังเกมนั้นจบลง ผมรู้ทันทีว่าตอนเหลือสิบคน ต้องมีคนออกจากสนาม แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นผม ตอนเห็นหมายเลข 7 ผมโดนฆ่าไปแล้ว ผมไม่ต้องการฆ่าเวนเกอร์นะ แต่เป็นเลห์มันน์ ใช่ ผมอยากฆ่าเขามาก มันคือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของผม ตอนที่ผมเห็นหมายเลขตัวเลขคือคนต้องออกจากสนาม ผมคิดว่าไม่นะ ไม่สิ มันต้องไม่เป็นแบบนั้น”
“เขาน่าจะเลือกเคล็บหรือว่าเพื่อนของผม ฟาเบรกาส ออกจากสนามนั่นคือในความคิดของผม เพราะผมสามารถช่วยทีมในเกมรุก และผมกับ อองรี เราเล่นด้วยกันได้ดีมาก ตอนเยนส์โดนใบแดง ผมมั่นใจมากว่าตัวเองจะไม่โดนเปลี่ยนออก จนกระทั่งอองรีมาบอกผมว่า ผมคือคนที่โดนเปลี่ยนออก จนกระทั่งผมได้เห็นหมายเลข 7 บนป้ายเปลี่ยนตัว มันเฮงซวยมาก เลวร้ายที่สุด”
“ผมเดินผ่านอาร์แซนไปเลย เราไม่ได้มองหน้ากัน ผมเข้าไปนั่งข้างสนาม และหงุดหงิดกับสิ่งที่ได้รับ ผมรอจนตัวเองใจเย็นลง และบอกกับตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการ…เพื่อให้เราเป็นผู้ชนะไงล่ะ” ผมตัดสินใจหลังจากจบเกมนั้นสองวันว่าผมจะไม่ต่อสัญญา อาร์แซน ไม่คิดว่าผมจะไม่ต่อสัญญา แต่ผมต้องการมองหาอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม”
“หลังความพ่ายแพ้ในเกมนั้น มันคือสัปดาห์ที่เฮงซวยสำหรับผม เพราะผมได้ทราบว่าสำหรับผมฟุตบอลโลก 2006 ผมจะเป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น และเพิ่งผ่าน 18 นาทีในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศที่รอคอยมาตลอด ผมหวังอะไรจากเรื่องราวนี้ไว้มากกว่านั้นเยอะ”
นับจากปี 2006 เป็นต้นมา อาร์เซนอลในแชมเปี้ยนส์ ลีก เคยไปได้ไกลที่สุดเพียงรอบรองชนะเลิศ และพวกเขาในฤดูกาลนี้กำลังพยายามอย่างหนักในช่วง 4 เกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้เพื่อการกลับไปเล่นในฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของยุโรปอีกครั้งให้จงได้