เดวิด ดีน (79 ปี) อดีตรองประธานสโมสรอาร์เซนอล ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนนำ อาร์แซน เวนเกอร์ มายังอาร์เซนอล และสร้างประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างมากมาย ออกมากล่าวผ่านสื่ออีกครั้งในรอบหลายปี ด้วยวัยใครถึงเลข 8 คงไม่แปลกที่เขาถึงเวลาเก็บตัว ใช้เวลากับครอบครัวเป็นหลัก แม้จะยังคงมีบ้างที่ทำงานอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่แบบวัยหนุ่มอีกต่อไป แต่กลายเป็นที่ปรึกษาที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์มากมาย
จากหนุ่มชาวลอนดอนที่เข้าสู่วงการธุรกิจด้วยธุรกิจเกี่ยวกับน้ำตาล เข้าก้าวมาสู่อาร์เซนอลในปี 1983 หลังจากตัดสินใจซื้อหุ้นของอาร์เซนอลจำนวน 16.6 % ในวันแรกก่อนจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นมากถึง 42 % ในปี 8 ปีต่อมา ก่อนที่ในท้ายที่สุดก็มีการปล่อยหุ้นออกไปจนหมด ในช่วงเวลาแห่งการสงครามแย่งชิงความเป็นหนึ่งที่อาร์เซนอล ระหว่าง สแตน โครเอนเก้ และ อลิเชร์ อุสมานอฟ ซึ่งทั้งสองคนคือคนที่ดีนนำมาที่อาร์เซนอล ก่อนที่สุดท้าย ดีน จะเลือกอยู่ข้างของอุสมานอฟ ซึ่งสงครามแย่งชิงหุ้นจบลงด้วยการตัดสินใจขายหุ้น 30 % ที่เหลือของอุสมานอฟ ให้กับ โครเอนเก้ หลังจากประเมินแล้วว่าไม่มีทางที่ตนเองจะได้หุ้นส่วนใหญ่ของอาร์เซนอล โดย โครเอนเก้ ปัจจุบันถือหุ้นสโมสรอยู่ที่ 93.6 % ถือครองแบบเบ็ดเสร็จเรียบร้อย
ช่วงเวลาของดีนที่อาร์เซนอลเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองน่าจดจำ และน่าเศร้าปะปนกันมากมาย การพบกับอาร์แซน เวนเกอร์ ในช่วงปี 1989 เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่แฟนบอลอาร์เซนอลยุคเก่าตื่นเต้นว่าคนหนึ่งคนเดินทางมาดูบอลที่สนามไฮบิวรี่ในช่วงปีใหม่ซึ่งประเทศอังกฤษ เป็นลีกใหญ่เดียวในยุโรปที่มีการลงเล่นในช่วงเวลานั้น ขณะที่ที่อีกหนึ่งคนทำงานเป็นรองประธานสโมสรสโมสร การนั่งดื่มกันหลังเกมที่บ้านเพื่อนของดีน กลายเป็นความพึงใจในกันและกัน และสุดท้ายได้มาร่วมงานกัน
“อาร์แซนสำหรับอาร์เซนอล” (Arsene for Arsenal) กลายเป็นหนึ่งในวลีเด็ดของเรื่องราวนี้
ย้อนไปสักนิดในสาเหตุของการมาชมเกมของเวนเกอร์ ไม่มีอะไรพิเศษในเวลานั้นเขาทำงานเป็นโค้ชให้ อาแอส โมนาโก และเขาเดินทางมาลอนดอนเพื่อจะเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศสหลังการเดินทางพักผ่อนในช่วงปีใหม่ แต่ก็ยังไม่ได้เดินทางต่อเนื่องเสียทีเดียว เขาแวะพักสักหนึ่งวันและอยากดูฟุตบอล ว่าแล้วเลยถาม เกล็น ฮอดเดิ้ล (อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ และ สเปอร์ส) ซึ่งเป็นลูกทีมของเขาที่โมนาโกว่าช่วยหาตั๋วฟุตบอลอังกฤษให้เขาสักเกม สุดท้ายเอเยนต์ของฮอดเดิ้ล จัดเกมสงครามลอนดอนเหนือมาให้กับเจ้านายของฮอดเดิ้ล ซึ่งเกมนั้น อาร์เซนอล ชนะ 2-0
แต่ล่าสุด ดีน ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องราวที่ย้อนไปไกลกว่านั้นเสียหน่อยในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 สามปีหลังการเข้ามาสู่อาร์เซนอลของ เดวิด ดีน ช่วงเวลาในปี 1986 เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายอีกช่วงหนึ่งของอาร์เซนอล เมื่อสโมสรกำลังมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม
ดอน ฮาว กำลังจะออกจากตำแหน่งหลังจากสามปีในการคุมทีมเต็มตัวของเขาจบลงด้วยความว่างเปล่า และการเลือกผู้จัดการทีมในยุคอนาล็อค ก็คือการประชุมร่วมกันของบอร์ดบริหาร และมานั่งคุยกันว่าใครจะเหมาะสมกับการรับงานในตำแหน่งนี้ และแน่นอนเวลานั้น ดีน ยังไม่รู้จักกับอาร์แซน เวนเกอร์ และเขาพูดถึงชื่อหนึ่งขึ้นมานั่นคือชื่อของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
กุนซือหนุ่มแห่งอเบอร์ดีน สกอต์แลนด์แท้ๆ ตามสายเลือด กำลังเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เขาพาทีมคว้าแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1983 ควบด้วย ซูเปอร์ คัพ อีกรายการ ขณะที่ในลีกเขาพาทีมได้แชมป์ทุกรายการของประเทศ โดยเป็นแชมป์ลีกถึงสามสมัย (นับตั้งแต่อเบอร์ดีน คว้าแชมป์ลีกในปี 1985 ไม่มีทีมใดนอกจาก เรนเจอร์ส และเซลติก คว้าแชมป์ลีกได้อีกเลย) และมีประสบการณ์คุมทีมชาติสกอตแลนด์ในฟุตบอลโลก 1986 ด้วยเหตุการณ์เสียชีวิตอย่างกะทันหันของ จอค สตีน ผู้จัดการทีมชาติสกอตแลนด์ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายของบอร์ดบริหารมีชื่อของ จอร์จ เกรแฮม อยู่ในโผ และก็ได้รับความสนใจไม่น้อย
เกรแฮม เป็นลูกหม้อเก่าของอาร์เซนอล เป็นกัปตันทีมชุดดับเบิ้ลแชมป์ของสโมสรในปี 1971และก้าวเข้าสู่วงการโค้ชทันที หลังการเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ เขายังคงหนุ่มแน่นวัยเพียง 40 ต้น ๆ รับงานคุมทีมมิลล์วอลล์ ในระดับล่าง ต่อสู้กับการหนีตกชั้นที่พลิกชีวิตกลายเป็นทีมเลื่อนชั้นในเวลาต่อมา
การสนทนาภายในบอร์ดบริหารยุคนั้นในยุคของ ปีเตอร์ ฮิลล์-วู้ด เปิดกว้างในการแสดงความเห็นและเลือกให้มีการโหวตกัน ชื่อของ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ หรือว่า โยฮัน ครอยซ์ อยู่ในหัวข้อในการสนทนาด้วย แต่สุดท้ายบอร์ดก็ตัดชอยส์เหลือเพียงแค่ เฟอร์กูสัน และ เกรแฮม ว่าสุดท้ายแล้วจะเลือกใครมารับงานนี้
เฟอร์กูสัน : โดดเด่นด้วยผลงานที่ประจักษ์แล้วในสกอตแลนด์ ก้าวต่อไปของเขาคืองานใหญ่กว่าเดิม และอาร์เซนอลใหญ่พอสำหรับเขาแน่
เกรแฮม : หนุ่มแน่น ลูกหม้อสโมสร แม้จะคุมลีกล่าง แต่ก็คือการทำงานที่เขาได้เรียนรู้งานคุมทีมแบบเต็มรูปแบบ ประสบการณ์อาจน้อย แต่คอนเนคชั่นในอังกฤษก็แน่นไม่แพ้ใคร
ในเมื่อเลือกกันไม่ได้ ดีน จึงเสนอแนวคิดที่ว่า ทำไมอาร์เซนอลไม่เลือก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มารับงานคุมทีม และให้ จอร์จ เกรแฮม มาเป็นผู้ช่วยเลยล่ะ มันคงดีหากได้สองคนนี้มาทำงานร่วมกัน แต่น่าเสียดายที่ว่าบอร์ดบริหาร ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เท่าไร แม้ว่า ดีน จะได้มีโอกาสคคุยกับ ดิ๊ก โดนัลด์ ประธานสโมสรของอเบอร์ดีน ซึ่งก็ได้บอกข้อเสนอดังกล่าวให้กับ เฟอร์กูสัน ไปแล้วเช่นกัน แต่สุดท้ายดีลนี้ไม่เกิดขึ้นจริง
“ผมจำไม่ลืมเลยว่า ตอนนี้ที่สุดท้ายอาร์เซนอล เลือก เกรแฮม มาร่วมงานด้วย เรามีการคุยเรื่องเงินกับเขา เขาเรียกร้องมากกว่าที่เราเสนอไปในตอนแรก แต่เขาบอกกับผมว่า ถ้าเขาประสบความสำเร็จ ค่าตัวเขาจะไม่ถูกเช่นนี้แน่…ผมไม่ลืมที่เขาพูดไว้ เพราะวันที่เขาเดินเข้ามาที่ทำงานของผมอีกรอบ เขามาพร้อมกับถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ มันย้ำเตือนเรื่องราว และกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำต่อเขา”
หน้าประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า อาร์เซนอล แต่งตั้ง จอร์จ เกรแฮม รับงานผู้จัดการทีมคนใหม่ที่อาร์เซนอล ขณะที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก้าวไปสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนต็ด ในปีเดียวกัน เกรแฮม คุมอาร์เซนอล 8 ปี สองแชมป์ ลีก สองลีก คัพ หนึ่งเอฟเอ คัพ หนึ่งคัพ วินเนอร์ส คัพ และมันคงจะมากกว่านี้ หากเขาไม่ด่างพร้อยไปกับเรื่องของคดีความรับเงินใต้โต๊ะในดีลการเซ็นสัญญา พอล ลีเดอร์เซ่น ที่ทำให้เขาออกจากตำแหน่งไปแบบน่าเสียดาย ส่วน อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลายเป็น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเวลาต่อมา และคำว่า “ประสบความสำเร็จ” มันยังน้อยเกินไปสำหรับชีวิตการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเขา
หากเกรแฮมไม่โดนปลด อาร์แซน เวนเอร์ คงไม่มีชื่อจารึกในอาร์เซนอล เช่นเดียวกับหากเลือก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และโน้มน้าวเขามาร่วมงานด้วยได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจไม่มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ตลอด 26 ปีของกุนซือชาวสกอตต์เช่นกัน
บนวัย 79 ปี ดีนยังคงทำงานในวงการฟุตบอลอยู่บ้าง โดยเฉพาะโปรเจคต์ที่มีชื่อว่า ทวินนิ่ง โปรเจคต์ ซึ่งเป็นโปรเจคต์สำหรับการเปิดโอกาสให้กับคนที่เคยผ่านคุกมาก่อน ได้เรียนรู้งานในวงการฟุตบอล เพื่อที่จะให้พวกเขามีงานทำหลังการพ้นโทษ ซึ่งโปรเจคต์นี้ได้รับการสนับสนุนจำนวนมากจากคนในวงการ แน่นอนหนึ่งในนั้นคือ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนรัก และผู้จัดการทีมคู่บุญของเขาในวงการฟุตบอลนั่นเอง