ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้นักเตะที่มีเชื้อสาย “บาสก์” เท่านั้น นี่คือกฎหลักที่สำคัญที่สุดของทีม แอธเลติก บิลเบา ทีมจาก แคว้นบาสก์ ในศึก ลา ลีก้า สเปน มันอาจจะฟังดูแล้วรู้สึกว่าทำได้ยาก แต่ทีมของพวกเขาก็ทำมันมาได้ 100 กว่าปี โดยที่ไม่เคยตกชั้นเลยสักครั้ง ซึ่งมีแค่ 3 ทีมที่ทำได้ (อีก 2 ทีม คือ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า)
บาสก์ เป็นแคว้นที่อยู่ทางเหนือของประเทศสเปนและภาคใต้ของฝรั่งเศส เป็นชาวท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ มีภาษาบาสก์ เป็นภาษาของตัวเองโดยไม่ใกล้เคียงกับภาษาอื่นๆ ทำให้ ชาวบาสก์ ดูแตกต่างกับคน สเปน ในภาคอื่นๆ จึงกลายเป็นความภูมิใจในความเป็นบาสก์ สร้างความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองสูง ในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่อง “ฟุตบอล”
ในโลกของฟุตบอลยุคใหม่ มันเป็นเรื่องที่มากกว่ากีฬา มันไปไกลถึงเรื่องของธุรกิจ ในขณะที่สโมสรอื่นๆ ต่างพยายามลงทุนเพื่อซื้อนักเตะเข้ามายกระดับให้กับทีมของตัวเอง และมันก็ดูเป็นเรื่องปกติที่หลายทีมจะดึงนักเตะต่างชาติ ทีมีฝีเท้าดีๆ เข้ามา แต่มันไม่ใช่กับ แอธเลติก บิลเบา ที่ยังคงดันนักเตะเยาวชนขึ้นมาอยู่เสมอ
แต่ทีมอื่นก็ปั้นนักเตะเยาวชนเหมือนกันไม่ใช่หรอ? ใช่ แต่ที่ บิลเบา ต่างกับทีมอื่นคือ พวกเขาจะใช้เฉพาะนักเตะเยาวชน ที่มีสายเลือดเป็นคน “แคว้นบาสก์” เท่านั้น ต่อให้เก่งมาจากไหน แต่ถ้าไม่มีเชื้อสายบาสก์ ก็ไม่มีสามารถเป็นนักเตะของ แอธเลติก บิลเบา ได้
เคยมีครั้งหนึ่งที่ ราฟาเอล อัลกอร์ต้า ผอ.กีฬาของ แอธ.บิลเบา ปัดข่าวสนใจคว้าตัว กอนซาโล อิกวาอิน ในช่วงที่ค้าแข้งอยู่กับ ยูเวนตุส แม้ว่าปู่ของเขาจะมีเชื้อสายบาสก์ เพราะหลังจากการคัดกรองแล้ว อิกวาอิน ไม่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกของสโมสร เนื่องจากไม่ได้เกิดในแคว้นบาสก์ หรือ เคยอยู่กับอะคาเดมี่ของทีมมาก่อน
“ผมหวังให้เขาเกิดและเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ แต่เขาไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์ทั้ง 2 ข้อ” อัลกอร์ต้า เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ Onda Cero
จากบทสัมภาษณ์นี้ ก็ทำให้เห็นในความหยิ่งทะนง ที่จะทำตามธรรมเนียมของทีม แม้ว่าการได้ตัว อิกวาอิน เข้ามา จะช่วยยกระดับทีมได้ ซึ่งถ้าผมไม่ใช่แฟนตัวยงของทีม ก็คงจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย กับการที่กำลังจะมีกองหน้าระดับโลก มาช่วยผลิตสกอร์ให้กับทีม
แต่พวกเขาเอง ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าแนวคิดนี้ของพวกเขา มันไม่ได้ผิดและทำให้ทีมต้องแย่ จากการที่พวกเขาไม่เคยตกชั้นเลยสักครั้ง ตั้งแต่มีการก่อตั้งสโมสรขึ้นมา และยังเคยคว้าแชมป์ ลา ลีก้า ได้ถึง 8 ครั้ง มากเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์ของลีก ถ้วยโกปา เดล เรย์ 23 ครั้ง เป็นรองแค่ บาร์เซโลน่า ถึงแม้ในช่วงยุคหลังทีมจะไม่ค่อยประสบความเร็จ แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเขาก็ยังคงแบกศักดิ์ศรีของตัวเองไว้เสมอ
นอกยังมีอีก 3 ทีมดังที่อยู่ในลีก ลา ลีก้า คือ เรอัล โซเซียดาด, อลาเบส และเออิบาร์ แต่คู่แข่งร่วมแคว้นที่เบียดกันมาตลอดคือ เรอัล โซเซียดาด
เดิมทีทีม เรอัล โซเซียดาด ก็ใช้ระบบเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทนไม่ไหว ยอมยกเลิกระบบนี้ เพื่อให้คว้านักเตะต่างสัญชาติ เข้ามาช่วยทีม และต่อกรกับทีมอื่นได้อย่างสูสี เหตุผลที่พวกเขายกเลิกนโยบายนี้ มันก็เกิดมาจากการที่ทีมของพวกเขา มักโดน แอธเลติก บิลเบา ทีมที่ใหญ่กว่า ดึงตัวนักเตะไปตลอด
แอธเลติก บิลเบา เคยเป็นมหาอำนาจรายแรกของฟุตบอลสเปนในช่วงแรก พวกเขายึดครองสเปนได้อย่างสบายๆ เนื่องจากช่วงนั้น ยังไม่มีภัยคุกคามจากเมืองหลวงและแคว้นกาตาลัน แต่หลังจากมีสงครามกลางเมืองสเปนเกิดขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และกลายเป็น เรอัล โซเซียดาด ที่ต้องพบกับความยากลำบากหลังสงครามกลางเมือง ต้องดิ้นรนหนีตกชั้นจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งพวกเขาเคยตกชั้นไป 4 ครั้ง
หลักเกณฑ์ในการรับเยาวชนเข้าร่วมทีม อายุต้องไม่เกิน 15 ปี เพราะเขาต้องการให้เยาวชน ซึมซับวัฒนธรรมของสโมสรอย่างเต็มที่ โดยเด็กทุกคนนั้น ต้องเป็นเด็กท้องถิ่น หรือมีเชื้อสายบาสก์เท่านั้น แต่ก็มีผ่อนๆ บ้าง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนสเปนแท้ๆ ขอแค่มีสายเลือดจากรุ่น ปู่ ย่า ตา ทวด ก็พอ
ความรักและความภูมิใจในความเป็นบาสก์ ยังไปไกลจนถึงขนาดที่ยื่นเรื่องต่อยูฟ่าและฟีฟ่า เพื่อจัดตั้งทีมชาติบาสก์ลงแข่งในเกมการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ตั้งทีมชาติบาสก์ ของตัวเอง มาตั้งแต่ปี 1930 และลงแข่งกระชับมิตรมาตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงต้องรอคำตอบว่าจะได้อนุมัติหรือไม่
จากการที่มีการตั้งทีมชาติบาสก์ ขึ้นมาเอง นั่นยิ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ เรอัล โซเซียดาด ที่ชื่อชั้นเป็นรองกว่า ต้องเจอปัญหาจากที่ถูก บิลเบา คว้านักเตะเกรดดีๆ ของทีมไปร่วมทีม ก็เพราะการได้มาอยู่ บิลเบา มันมีแรงดึงดูดมากกว่า มันเปรียบได้เหมือนกับว่าพวกเขานั้น ติดทีมชาติบาสก์ ไปด้วยนั่นเอง
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงจุดที่ เรอัล โซเซียดาด ต้องยอมแหกประเพณีของแคว้น ตัดสินใจคว้า จอห์น อัลดริดจ์ กองหน้าทีมชาติไอร์แลนด์ จากลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ถ้วนในปี 1989 มาร่วมทีมเป็นคนแรกของประวัติศาสตร์
แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แม้พวกเขาจะยอมทิ้งประเพณีนี้ที่สืบกันมานาน คือ ยังไงก็แล้วแต่ พวกเขาจะไม่เซ็นสัญญากับนักเตะสเปน ที่มาจากส่วนอื่นของประเทศเป็นเด็ดขาด แคว้นบาสก์นี้เข้มเอาเรื่อง
จุดสร้างความเดือดมากขึ้นในศึก ดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นบาสก์ นั้นก็มาจากการที่ โซเซียดาด เสีย โฆเซบา เอเซร์เบเรีย ดาวรุ่งวัย 18 ในตอนนั้น ให้กับ แอธ. บิลเบา ด้วยราคา 3 ล้านยูโรในปี 1995 ทำให้แฟนบอล เสียอาการไปไม่น้อย ที่ต้องเสียเพชรเม็ดงามของทีม ไปให้คู่อริร่วมแคว้น
แคว้นบาสก์เอง ก็สร้างนักเตะระดับแนวหน้ามาไม่น้อย ซึ่งหลายคนก็เป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอล เช่น เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ที่ตอนนี้เป็นผู้รักษาประตูของเชลซี ย้ายจาก แอธเลติก บิลเบา ไปด้วยค่าตัวสถิติโลก, อินญิโก้ มาร์ติเนซ เบร์ริดี้ กองหลังของ แอธเลติก บิลเบา ที่ย้ายมากจาก เรอัล โซเซียดาด อริร่วมเมือง, เซซาร์ อัซปิลิกูเอต้า อีกหนึ่งนักเตะของเชลซีก็มาจาก แคว้นบาสก์, นาโช่ มอนเรอัล, ฆาบี มาร์ติเนซ อดีตนักเตะตัวหลักของ บิลเบา, อันเดร์ เอร์เรรา มิดฟิลด์จอมขยันที่ย้ายจาก บิลเบา ไปร่วมทัพผีแดง, อาริตซ์ อาดูริซ กองหน้าคนเก่งของของ บิลเบา ที่เพิ่งตัดสินใจแขวนสตั้ด และ แฟร์นันโด ยอเรนเต้ ดาวยิงร่างใหญ่ก็มาจากแคว้นบาสก์
สุดท้ายแล้วไม่ว่าโลกของฟุตบอลจะหมุนไปแค่ไหน เรื่องของธุรกิจจะเข้ามาอยู่ในวงการฟุตบอลมากขึ้นเท่าใด สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไปสำหรับทีม แอธเลติก บิลเบา ก็คือความภูมิใจในสายเลือดของบาสก์ ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ที่ต่อให้จะต้องเจอกับความพ่ายแพ้สักกี่ครั้ง พวกเขาก็ยังยึดมั่นในวิถีของตนเอง ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมแฟนบอลถึงศรัทธาในทีม