23 ธันวาคม 2019 กลายเป็นวันแรกอย่างเป็นทางการของ คาร์โล อันเชลอตติ ในการเข้ามาคุมทีม เอฟเวอร์ตัน สโมสรฟุตบอลในอังกฤษ สโมสรที่สองในชีวิตของเขา ต่อจาก เชลซี (2009-2011)
“ครึ่งฤดูกาลแรก” ของเขาจบลงด้วยความวุ่นวายจากการระบาดของไวรัส โควิด-19 ซึ่งวันนี้ก็ยังคงระบาดอยู่ต่อเนื่อง โดย เอฟเวอร์ตัน ได้อันดับ 12 ในฤดูกาล 2019-2020
อันเชลอตติ เซ็นสัญญา 4 ปีครึ่งกับทีม พร้อมกับการรับค่าเหนื่อยที่ว่ากันว่ามากถึง 14 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล พร้อมกับเป้าหมายสำคัญคือการสร้างทีม เอฟเวอร์ตัน ให้กลายเป็นยอดทีมแถวหน้าของวงการฟุตบอล โดยมี ฟาฮัด โมชิริ นายทุนใหญ่ของสโมสรให้การสนับสนุน
12 เดือนผ่านไป ณ.เวลานี้ ก่อนวันคริสต์มาส 2020 เอฟเวอร์ตัน อยู่ตามหลังจ่าฝูงเพียง 5 คะแนน และพวกเขาอยู่ในเส้นทางของการลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก เต็มตัว มันเป็นสิ่งที่แฟนบอล “ทอฟฟี่” เฝ้าฝันถึงมาเกือบ 16 ปีเต็ม หลังจากฤดูกาล 2004-2005 เดวิด มอยส์ เคยพาทีมได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือกรอบสาม แต่ปีนั้นพวกเขาก็จบเส้นทางเพียงแค่นั้น เมื่อต้องเจอกับ บียาร์เรอัล ซึ่งปีนั้นไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ
ต้องบอกว่าการมาของ อันเชลอตติ นั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของ ฟาฮัด โมชิริ เจ้าของทีมที่เป็นนายทุนใหญ่ มาตั้งแต่ที่เขาซื้อหุ้นของสโมสรแล้ว ในปี 2017 อันเชลอตติ ออกจาก บาเยิร์น มิวนิค และว่างงาน โมชิริ ก็ต่อสายตรงหา “อันเช่” โดยตรง เพื่อชวนมาทำงานด้วยกัน ก่อนที่เขาจะปฏิเสธข้อเสนอ และกลับไปรับงานในอิตาลี กับ นาโปลี แทน
ก่อนหน้านี้เขาเคยเกือบย้ายมาทำงานกับ เอฟเวอร์ตัน มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อรักจริง หวังครอบครอง อันเชลอตติ ว่างงานอีกครั้ง โมชิริ ก็ไม่พลาดยื่นโอกาสให้อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างลงเอยกันด้วยดี
เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นสโมสรที่เล็กที่สุดในแง่ของประวัติศาสตร์การคุมทีมของ อันเชลอตติ ในเรื่องของแชมป์ พวกเขาไม่ได้แชมป์อะไรเลยมาตั้งแต่ปี 1995 กับแชมป์ เอฟเอ คัพ พร้อมกับมีหนึ่งฤดูกาลที่ต้องหนีตกชั้นแบบสุดท้ายในวันสุดท้าย ก่อนที่จะรอดตัวมาได้ ในฤดูกาล 1997-1998 ก่อนที่จะพาตัวเองอยู่ในระดับกลางตารางมาโดยตลอดนับจากนั้น
การมาของ อันเชลอตติ มาพร้อมกับเงื่อนไขมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความจริงใจ และความมุ่งมั่นของโมชิริ” ที่เอาชนะใจ อันเชลอตติ กับ โปรเจคต์ใหญ่ของทอฟฟี่สีน้ำเงิน
“มันเป็นการตัดสินใจรับงานคุมทีมที่เต็มไปด้วย ความมุ่งมั่น และท้าทายมาก อันเชลอตติ เลือก เอฟเวอร์ตัน เพราะเรื่องนี้ เขารู้สึกได้ถึงความท้าทาย งานใหญ่ในการสร้างทีม เอฟเวอร์ตัน ให้กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่สนุกสำหรับเขา เช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเขาก็อยากกลับมาทำงานใน พรีเมียร์ ลีก เช่นกัน หลังจากมีประสบการณ์ที่ดีตลอดสองปีกับ เชลซี” คนใกล้ชิดของ อันเชลอตติ กล่าว
อันเชลอตติ เข้ามาในวันแรกกับทีม หลังจากเกมที่เขามาดูเกม เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ อาร์เซนอล 2-1 และวันแรกของเขาใน ฟินซ์ ฟาร์ม (สนามซ้อมของเอฟเวอร์ตัน) คือการ “ปรับตัว”
“เรามาถึงอังกฤษ และเดินทางมาที่ลิเวอร์พูล ด้วยเวลาที่ไม่นานนัก หลังเกมกับอาร์เซนอล เราเข้าสนามซ้อมวันต่อมาทันที เพื่อเริ่มงานกัน แต่วันแรกของเราก็ค่อนข้างจะต้องปรับตัวนิดหน่อย สามสัปดาห์ก่อนเรายังอยู่กับ นาโปลี ทำงานกับนักเตะอิตาเลี่ยนกันอยู่เลย” ดาวิเด้ อันเชลอตติ ลูกชาย และ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน กล่าว
“นักเตะ ในวันนั้นผมจำได้ว่า เรารู้จักพวกเขามากพอสมควร เพราะเราดูผลงานของทีมมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่จะเริ่มงานกัน เป้าหมายระยะสั้นตอนนั้นคือ หกเดือนแรก คือการประเมินสถานการณ์ทั้งหมด ออกมาเป็นแผนงานที่ต้องทำ และนั่นนำมาซึ่งการเสริมทีม”
เอฟเวอร์ตัน ในตลาดเดือนมกราคม 2021 ไม่มีการเสริมทีมเข้ามาแต่อย่างใด พวกเขาจบอันดับกลางตาราง และเตรียมงบประมาณก้อนใหญ่เอาไว้สำหรับหน้าร้อนที่จะมาถึง และแน่นอน เมื่อวันนั้นมาถึง เอฟเวอร์ตัน ก็เป็นหนึ่งสโมสรที่เสริมทัพได้อย่างเมามัน และน่าจับตามอง
“เรามีการคุยตกลงกันว่า การเสริมทีมของเราคือการนำ นักเตะ ที่เต็มไปด้วยพลังในการขับเคลื่อน ในแดนกลางเข้ามาเสริม และสโมสรก็สนับสนุนตรงนั้นอย่างเต็มที่ ตามที่เราร้องขอ การที่ทีมได้ นักเตะ อย่าง เบน ก๊อดฟรีย์ และ ฮาเมส โรดริเกวซ เข้ามาช่วยเหลือทีมได้เยอะมาก ในพรีเมียร์ ลีก ปัญหาเกี่ยวกับ นักเตะ บาดเจ็บ มันเป็นสิ่งที่ต้องเจออยู่แล้ว การได้ นักเตะ ใหม่เข้ามาคือการเสริมในเรื่องของ เชิงลึกของ นักเตะ ในทีม ซึ่งตอน นักเตะ บาดเจ็บเยอะ เราก็จะสามารถหาคนมาทดแทนได้ เพื่อรักษาผลงานในระดับสูงต่อไป”
อย่างไรก็ตาม การเสริมทีมของ อันเชลอตติ ไม่ได้เป็นการเสริมทีมแบบที่พลิกกระดาน แต่เป็นการเสริมทีมในแบบที่แทรกซึม จากทีมชุดเดิมที่มีอยู่ โดย มาร์โก ซิลวา คือ ผู้จัดการทีมคนก่อนหน้านี้ของสโมสร และ นักเตะ หลายคนก็ยังคงอยู่ในแผนการทำงานของ อันเชลอตติ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จ ไม่ได้มาแค่ คาร์โล อันเชลอตติ เพียงคนเดียว เมื่อ อันเชลอตติ ผู้เป็นลูก ก็เป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญของทีมนี้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียง 31 ปี เท่านั้น และกลายเป็นผู้ช้วยผู้จัดการทีมทีอายุน้อยที่สุดใน พรีเมียร์ ลีก อีกด้วย แต่เขาคนนี้กลับผ่านประสบการณ์งานด้านโค้ช มาอย่างโชกโชน จากการตามพ่อของเขาไปทำงานไปในหลายสโมสร ตั้งแต่ เปแอสเช, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, นาโปลี และล่าสุดกับ เอฟเวอร์ตัน โดยเขารับงานเป็นผู้ช่วยโค้ชครั้งแรก สมัยทำงานกับ นาโปลี ซึ่ง คาร์โล ผู้เป็นพ่อ เห็นว่า ลูกชายของตน มีความสามารถมากพอจะรับงานได้แล้ว
“ดาวิเด้ เป็นหนึ่งคนที่มีความสามารถ เขาเป็นคนวางในเรื่องของแท็กติกการเล่นส่วนหนึ่งของทีมเลยล่ะ เป็นคนที่มีความรู้เรื่องฟุตบอล และแน่นอน คาร์โล ไว้ใจลูกชายของเขาในเรื่องนี้ เขาเป็นคนที่วิเคราะห์เกมทั้งหมดของทีมเยอะมาก ผ่านการนั่งชมเกมการแข่งขัน หรือคลิปเฉพาะตำแหน่งการเล่นแบบแยกส่วนออกมา”
“อย่างเช่น กองหลัง กับการเล่นเกมรับที่ผิดพลาดจนเสียประตู เขาจะเรียก นักเตะ มานั่งดูด้วยกัน และระบุว่าเกิดอะไรขึ้นถึงผิดพลาด และทางเลือกในการเล่นมีอะไรบ้างในจังหวะดังกล่าว เป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ได้มาบอกว่า ใครผิด แต่เป็นการคุยกันเพื่อทำอย่างไรไม่ให้ ทีมเสียประตู และนั่นเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง พ่อ-ลูก อันเชลอตติ คู่นี้อย่างยิ่ง”
โปรดติดตามตอนต่อไป