กลายเป็นกระแสสังคมโลกได้ครองพื้นที่สื่อได้ทั่วโลกอย่างแท้จริง สำหรับ แนวคิดการก่อตั้ง “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก” ที่นำโดย ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ที่นำ เรอัล มาดริด และอีก 11 สโมสรใหญ่ที่ประกอบไปด้วยตัวแทนของ ลา ลีกา, เซเรีย อา และ พรีเมียร์ ลีก ร่วมกันออกแถลงการณ์เข้าร่วมลีกนี้ ซึ่งจะมาพร้อมกับ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าสู่แต่ละสโมสร กับเกมการแข่งขันที่จะลงเล่นทุกกลางสัปดาห์ตลอดฤดูกาล
เรื่องเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน และสิ้นสุดลงในเช้าวันพุธที่ 21 เมษายน 2021 รวมสามวัน เมื่อล่าสุดทุกอย่างไม่ได้ไปต่อแน่นอนแล้ว หลังการแถลงการณ์ของ 6 สโมสรในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ยืนยันไม่เข้าร่วม ซูเปอร์ ลีก แล้ว โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสโมสรแรกที่ประกาศการถอนตัว ก่อนที่เหลือจะออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
ขณะที่ทางฝากฝั่งของ เซเรีย อา และ ลา ลีกา ณ.เวลาที่เขียนข้อมูลนี้ อินเตอร์ มิลาน เป็นอีกทีมที่ประกาศออกจากโปรเจคต์นี้ และคาดว่าที่เหลือก็คงจะตามมาอีกไม่ช้า เพราะถอนตัวกันไปแล้วเกิน “ครึ่งลีก”
ฟุตบอลอังกฤษ เป็นหนึ่งในส่วนหนึ่งของชีวิตของคนอังกฤษที่มีมายาวนาน หากนับตามอายุสมาคมฟุตบอลก็กำลังจะใกล้ครบ 160 ปี อีกไม่ช้านี้ พวกเขามองสโมสรฟุตบอลที่เชียร์คือ “ส่วนหนึ่งของพวกเขา” พวกเขารักมัน หวงแหนมัน และถ้ามันต้องย้ายไปเล่นในลีกที่ทำเงินให้มากขึ้น แต่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีของพวกเขา พวกเขา (ส่วนมาก) ไม่ต้องการแบบนั้น พวกเขาออกมาเรียกร้อง รวมตัวกดดัน สโมสรของตนเองในการทำเช่นนี้
“สร้างโดยคนจน ปล้นโดยคนรวย” หนึ่งในป้ายความไม่พอใจที่มันกระแทกความรู้สึกของใครหลายคนที่รักฟุตบอล
การหยุดยั้งการก่อตั้ง ซูเปอร์ ลีก ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเพียง แฟนบอล เพียงเท่านั้น แฟนบอล เป็นเสมือน “กองหน้า” ในการแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่หลังบ้านทำงานกันอย่างหนัก เพื่อหยุดเรื่องราวนี้ แน่นอน ยูฟ่า เป็นแกนหลักสำคัญในเรื่องนี้ โทษฐานคือ องค์กรหลักที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หากเกิดลีกนี้ขึ้นมาจริง
ซูเปอร์ ลีก เกิดจากความไม่พอใจของ 12 สโมสรเกี่ยวกับเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ที่ไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขา ในฐานะของสโมสรที่เป็น “แม่เหล็ก” ที่เรียกแฟนบอลเข้ามาชมการแข่งขันในทุกฤดูกาล ดังนั้นพวกเขาต้องการมากกว่าที่เป็นอยู่ และเมื่อ ซูเปอร์ ลีก สามารถตอบความต้องการนี้ได้ พวกเขาก็ย่อมสนใจเป็นธรรมดา ในแง่ของธุรกิจ สิ่งที่ ซูเปอร์ ลีก มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นการการันตีรายได้ต่อฤดูกาล ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันทุกปี ยังไม่รวมถึงเงินรางวัลจากการแข่งขัน จำนวนมาก มัน “คุ้มค่า” และ “ยั่งยืน” กับสโมสร มันคือทางรอดขององค์กร มุมนี้เข้าใจ และยอมรับกันได้
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจครั้งนี้ของทุกสโมสร ไม่ได้เกิดจากความต้องการของ “คนส่วนมาก” แต่เกิดจากการตัดสินใจของ “คนส่วนน้อย” ภายในแต่ละสโมสร นั่นคือ บอร์ดบริหาร หรือเหล่าผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นหลัก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ โปรเจคต์ นี้ไปไม่รอดคือ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแต่ละสโมสร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งแน่นอน “ต้องคุยกันก่อน” ที่จะมีการตัดสินใจอะไรลงไปพร้อมกัน ในแง่ของ “สื่อสารในองค์กร” ข้อนี้สอบตกกันทั้งหมดทั้ง 12 สโมสร เพราะแม้กระทั่ง ผู้จัดการทีม และ นักเตะ ต่างยังไม่ทราบเรื่องมาก่อน เรียกว่ารู้แทบจะพร้อมกับแฟนบอลเลยด้วยซ้ำ และมันไม่แปลกที่ ผู้จัดการทีม, นักเตะ และ อดีตนักเตะ หลายคนจะออกมาไม่เห็นด้วยกับการย้ายลีกครั้งนี้เยอร์เก้น คล็อปป์, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ นักเตะ อย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด คือตัวอย่างที่ไม่เห็นด้วย กับสโมสรของตนเอง เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับความรู้สึกของคนจำนวนหลายล้านคน
ไม่แปลกใจที่สุดท้ายแล้ว มันจะล้มเหลว หรือแท้จริงแล้วมันอาจจะ “ตั้งใจให้เป็นแบบนี้แต่แรกแล้ว” ก็คิดไปในทางนั้นได้เหมือนกัน
ผู้จัดตั้ง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก อย่าง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ คิดน้อยไปหรือเปล่า ในเรื่องนี้ ไม่เลย เปเรซ ไม่ได้คิดน้อย เขาคิดมากเสียด้วยซ้ำ ในการเปิดตัว ซูเปอร์ ลีก ครั้งนี้ เหมือนที่เขาบอกแต่แรกแล้วว่า
“เขาไม่ได้อยากจัดตั้ง ซูเปอร์ลีก แต่เขาอยากช่วยวงการฟุตบอล” ดังนั้นหากมองในมุมนี้ ซูเปอร์ ลีก ทำสำเร็จแล้ว เพราะมันทำให้ ยูฟ่า ได้สะดุ้งโหยง ดิ้นพล่านเป็นเจ้าเข้า ถึงขั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 หรือกระทั่งข่าวการเตรียมหางบสนับสนุนมาลงเพิ่ม หากเกิด ซูเปอร์ ลีก ขึ้นมาจริง ๆ นี่ยังไม่รวมที่ ยูฟ่า โวยวายไปทั่ววงการ และนอกวงการ “ช่วยกูด้วย” อีกต่างหาก
แต่หากสุดท้ายแล้ว “ซูเปอร์ ลีก” ต้องเกิดขึ้นจริงก็มั่นใจว่า เปเรซ ก็กล้า ๆ จะออกไปลุยสร้างลีกเช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าการออกไปตั้ง ซูเปอร์ ลีก หากเกิดขึ้นจริง ยูฟ่า เสียหายหนักไม่น้อยกว่าความเสี่ยงที่ 12 สโมสรเหล่านั้น ต้องออกไปลุ้นว่าจะมีคนดูมากน้อยแค่ไหน โดนประณามอีกเท่าไร โน่นนี่นั่นอีกมากมาย ดังนั้น จบแบบนี้ แฮปปี้ทุกฝ่าย ยกเว้นแค่เรื่อง “ผลประโยชน์” ที่ยังไม่มีข้อมูลออกมาว่า ยูฟ่า จะจัดการอย่างไรแบบเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกับเหล่าทีมชั้นนำ แต่มั่นใจว่ามีการพูดคุยกันบ้างแล้ว เพราะหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง “เรื่องนี้ไม่จบ”
ที่ผ่านมาว่ากันตามตรง ยูฟ่า หรือ กระทั่ง ฟีฟ่า ในฐานะองค์กรจัดการแข่งขันก็มีเรื่องเน่าเสียออกมาอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการ ล็อบบี้เจ้าภาพฟุตบอลโลก, การรับสินบนภายในองค์กร, การที่เอาฟุตบอลบางรายการไปแข่งขันในประเทศตะวันออกกลาง ไม่รวมถึงเรื่องของ Financial Fair Play ที่ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เอาเสียเลย บางทีมโดน บางทีมก็รอด ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่า “มันไม่น่ารอด” เป็นต้น ดังนั้น ยูฟ่า ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า พวกเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร และมีเรื่องฉาวภายในองค์กร ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังได้แล้ว
เมื่อองค์กรไม่น่าเชื่อถือ ไม่ได้มอบความสบายใจในการทำงานร่วมกัน การทำแบบนี้ของ 12 สโมสรใหญ่ ก็ทำให้พวกเขาต้องกลับมาคิดแล้วล่ะว่า โลกทุกวันนี้ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว สโมสรฟุตบอลมีอำนาจการต่อรองที่มากพอ หากพวกเขาโดนกระทำกดขี่มากจนเกินไป พวกเขาก็พร้อมต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เพราะ ถ้าไม่รวมตัวเลขจำนวนมหาศาลที่จะได้รับ หรือการไม่มีตกชั้นของสโมสรก่อตั้ง การจัดการแข่งขัน ซูเปอร์ลีก สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพา ยูฟ่า หรือ ฟีฟ่า แต่อย่างใด
ส่วนเหล่า 12 สโมสรที่ออกไปลุยในรอบนี้ อาจจะเขิน ๆ กันบ้างที่จะกลับมาร่วมเข้าระบบกันตามปกติ แต่เชื่อได้เลยว่า “การกลับมา” ยืนข้างแฟนบอลครั้งนี้ ของพวกเขาจะได้รับการต้อนรับที่ดี มากกว่าแย่ เพราะไอ้ที่แย่ จะกลายเป็นพวกผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหลายที่จะต้องเจอ #Out กันแบบเรียงตัว โทษฐานเอาสโมสรไปทำแบบนี้ โดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า ไม่ถามกันสักคำ
นี่คือการต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลยุโรปที่ สโมสรฟุตบอล ท้าทาย องค์กรจัดการแข่งขันแบบตรงไปตรงมาที่สุด และมันจะกลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ฟุตบอล ไปเรียบร้อยแล้ว ดังที่ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ยุติการจัดตั้งของพวกเขาเขียนไว้
“เรามีความมุ่งหมายในการตั้งการแข่งขันฟุตบอลยุโรปขึ้นมาใหม่ เพราะระบบเดิมที่มีอยู่มันไม่เวิร์ค”
เอวังด้วยประการนี้นั่นเอง
Copyright © 2019 UFA6556 แทงบอลออนไลน์ มั่นคง ปลอดภัย อันดับหนึ่งเมืองไทย | All right reserved.