ชื่อของ อเล็กเซ สเมอร์ติน อาจจะไม่คุ้นหูแฟนบอลรุ่นใหม่มากเท่าไรนัก แต่ผมก็เชื่อว่า แฟนบอล จำนวนไม่น้อยที่รู้จักกับ กองกลางดีกรีกัปตันทีมชาติรัสเซียคนนี้ เพราะอย่างน้อยเขาคนนี้ก็เคยผ่านการเล่นใน พรีเมียร์ ลีก มาแล้วถึง 4 สโมสรด้วยกัน โดยเฉพาะกับ เชลซี ที่ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น นักเตะ แชมป์พรีเมียร์ ลีกมาแล้ว วันนี้เขาได้กลับมานั่งคุยกับ สื่อในอังกฤษ หลายเรื่อง แต่ที่เราเลือกมาให้อ่านกันในวันนี้คือเรื่องราวของ บ้านเกิดของเขา และชีวิตที่มีอะไรให้ตื่นเต้นเสมอกับ ดินแดน ที่ชื่อว่า ไซบีเรีย อันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย
“ผมโตมาใน ไซบีเรีย ดินแดนที่คุณหลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับอะไรบ้าง แต่เราก็เล่นฟุตบอลเช่นกัน เพียงแต่ว่า ฟุตบอล ของเราไม่เหมือนกับส่วนอื่นใน ยุโรป มี 3-4 เดือน ที่เราต้องเล่นกันท่ามกลางหิมะ ต้องขอบคุณพ่อของผม ที่ทำให้ผมรู้จักกับฟุตบอล หนึ่งในความทรงจำเมื่อผมคิดถึงพ่อ ก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่เขาสอนให้ผมรู้กับ ฟุตบอล และการเล่นฟุตบอล” สเมอร์ติน กล่าว
“หลายคนในเมือง เลือกที่จะลงเล่น ฮ๊อกกี้น้ำแข็ง มันเหมาะกับสภาพแวดล้อมของพวกเรามาก ผมเองก็เคยเล่นมาก่อนที่สุดท้ายผมจะเลือกเล่น ฟุตบอล เป็นหลัก ผมไม่เสียใจเลยที่เลือกเล่นฟุตบอล มันคือเป้าหมายของชีวิต มันคือความฝันของผม และพ่อของผม ซึ่งเป็นคนทำงานโรงงานใน ไซบีเรีย เขาเป็น นักเตะ ระดับสมัครเล่น ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายของเขาเป็น นักเตะ อาชีพ ฝันของเขา คือ ฝันของผมไปด้วย”
“ท่ามกลางหิมะ อุณหภูมิที่เราเล่นกันอยู่ที่ -30 องศาเซลเซียส มันเป็นอะไรที่เหมาะกับการนอนอยู่บ้าน หน้าเตาผิงมากกว่าลงเล่น ฟุตบอล แต่คุณเชื่อไหมว่ามี เด็ก มากมายรุ่นราวเดียวกัน ออกมาเล่นนอกบ้าน ไล่เตะฟุตบอลกันในอากาศแบบนั้น เพราะความอยากเล่นสนุกกับ ฟุตบอล ผมคิดว่ามันหล่อหลอมพวกเราทุกคน ด้วยธรรมชาติที่เราต้องเจอ มันทำให้เรากลายเป็น นักสู้ พอโตขึ้นมา เจอสภาพสนามในแย่มาก ผมก็จะคิดเสมอว่า ไม่มีอะไรแย่กว่านั้นอีกแล้วล่ะ”
“ไซบีเรีย เป็นพื้นที่หลายคนมักคิดว่ามันจะหนาวอย่างเดียว แต่ความจริงไม่เลย เรามีหน้าร้อนเหมือนกัน ถ้าร้อนมันจะร้อนถึง 30 องศาเซลเซียส หากหนาวจะ -30 องศาเซลเซียส มันเหมือนกับ ดินแดนแห่งความสุดขั้ว เราไม่ได้อยู่ในอากาศหนาวตลอดปี แต่คนทั่วไปมักคิดแบบนั้น และด้วยความที่มันเป็นพื้นที่ในลักษณะแบบนั้น มันเลยไม่ค่อยมีคนรู้จัก มันเป็นพื้นที่ใหญ่มากขนาดที่ว่าเอาประเทศอังกฤษ ไปวางไว้ก็ยังได้เลย ทางตอนเหนือ เป็นดินแดนที่คนอยู่ไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นทางใต้คนจะมากกว่า เพราะอากาศจะดีกว่า และมีหลายเมือง ผมอยู่ในเมืองชื่อว่า บาร์นัว เรามีคนอยู่ในเมืองนี้หลายแสนคน”
“ผมโตมาพร้อมกับ กฎระเบียบหลายอย่างมากในประเทศรัสเซีย มีหลายอย่างที่ห้าม เช่นการไว้ผม ซึ่งห้ามไว้ผมยาวสมัยเรียน พอโตมาผมก็ทำตรงกันข้าม ชุดอะไรที่เขาไม่ให้ใส่ โตมาผมก็ใส่ ผมว่าผมเป็นพวกต่อต้านสังคมอยู่เหมือนกันนะ แต่ส่วนหนึ่งที่ผมเสียดายคือ ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือมากนัก พอโตมาผมกลับสนใจมันอย่างมาก และส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผมเดินทางไปเล่นฟุตบอลในหลายประเทศทั่วยุโรป”
สเมอร์ติน เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลครั้งแรกกับ สโมสร ดินาโม บาร์นัว ทีมในบ้านเกิดของตนเอง โดยเริ่มต้นกับทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 17 ปี เท่านั้น ก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับสโมสร ซายา เลนนิน-คุซเนสกี้ และ อูราลาน เอลิสต้า ซึ่งทั้งหมดเป็นทีมในระดับกลาง-ล่างของประเทศรัสเซียทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สเมอร์ติน ก็ฟอร์มโดดเด่นจนติดทีมชาติรัสเซีย ชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1998 และนั่นทำให้ปีต่อมา โลโคโมทีฟ มอสโก ตัดสินใจดึงตัวเขามาร่วมงานด้วย
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า เซอร์เก คอร์มิลเซฟ เราเป็น นักเตะ เยาวชนของ บาร์นัว ด้วยกัน และเขาเป็น นักเตะ ที่ดังมากในตอนนั้นเพราะเขาเคยเล่นกับ ยูเครน มาแล้วเกมหนึ่ง และกับทีมชาติรัสเซีย อีกเกมหนึ่ง เราทำงานด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน เรียกว่าเรียนรู้อะไรมาด้วยกันหลายอย่าง สุดท้ายเราย้ายไป ซายา เลนนิน-คุซเนสกี้ ด้วยกัน ที่นั่นเราไม่ได้รับค่าแรงเป็นเงิน แต่เรารับเป็น “ถ่านหิน” เมืองนี้มี เหมืองถ่านหิน 12-13 แห่ง ผมไม่เคยรู้ว่า ถ่านหินเหล่านี้มันมีค่าเท่าไร แต่มันก็คือความจริงที่ผมได้ค่าแรงแบบนี้”
“ผมเริ่มต้นกับทีมในบ้านเกิดของตัวเอง มันเป็นอะไรที่ดีมากกับการเริ่มต้น ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ก่อนที่จะย้ายทีม มันเหมือนเกมการไต่เขานะ หากคุณไม่เรียนรู้การปีน คุณไม่มีทางถึงสุดยอด ถ้าคุณปีนไม่สูงพอ คุณก็ต้องพยายามให้มากกว่าเดิม ผมไม่เห็นด้วยเท่าไรกับ นักเตะ หลายคนที่เลือกย้ายไปเล่นกับทีมใหญ่ ตั้งแต่อายุน้อยมาก พวกเขาอาจจะเก่งก็จริง แต่การเล่น ฟุตบอล มันมีมากกว่านั้น ทั้งเรื่องของความแข็งแกร่งในเรื่องของ จิตใจ ที่ไม่มั่นคง คิดถึงบ้าน หรือว่าการเจอปัญหาในเรื่องของโอกาสในการลงเล่น ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่ค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้นจากสโมสรเล็ก มาจนถึงสโมสรระดับชั้นนำของรัสเซีย”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างมันจะง่ายหรอกนะ ทุกสโมสรที่ลงเล่น ถ้าคุณไม่เต็มร้อยกับการเล่น คุณไม่มีวันประสบความสำเร็จ ผมเองในช่วงเริ่มต้นกับ ดินาโม ผมมีพี่ชายอยู่ในทีมเดียวกัน เขาลงเล่นกับทีม และติดทีมชาติรัสเซียในระดับเยาวชน ซึ่งต่อมาเขาคือเป้าหมายในการตามรอย และก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ ซึ่งต่อมาผมก็ไปถึงทีมชาติรัสเซียชุดใหญ่ ซึ่งพี่ชายผมไม่ได้ติดทีมชาติชุดใหญ่เลย จนกระทั่งเลิกเล่น”
สเมอร์ติน ย้ายไป บอร์กโดซ์ ในปี 2000 ที่นั่นนอกจากฟุตบอลแล้ว ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ หนึ่งในนั้นคือ ไวน์ และการอ่านหนังสือ ซึ่งต่อมาหลังการย้ายมาเล่นในอังกฤษ เขาได้มีโอกาสพบกับ จอห์น ฟาวเลส ซึ่งเป็น นักเขียนคนโปรดของ สเมอร์ติน
“ตอนผมย้ายไป พอร์ทสมัธ แบบยืมตัว ผมได้พักอยู่ที่เดียวกับ จิม ริออร์แดน เขาเป็นนักเขียนชาวอังกฤษ ที่มีความรู้เรื่องรัสเซีย เป็นอย่างมาก เขาเคยบอกว่าตัวเองมีความเป็น คอมมิวนิสต์ อยู่ในตัว เพราะไปอยู่ที่ รัสเซีย มานานหลายปี แถมยังเคลมว่าตัวเองเป็น นักเตะ อังกฤษคนแรกที่ลงเล่นฟุตบอลใน สหภาพโซเวียต อีกด้วย เราคุยกันถูกคอมาก เพราะผมชอบอ่านหนังสือ จนเขาติดต่อ ฟาวเลส ให้เราได้ไปหาที่บ้าน มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เพราะผมชอบผลงานของเขามาก”
“ตอนนั้นเขาเป็นอัมพฤกษ์ และต้องนั่งวิลแชร์แล้ว แต่เขาก็ยังคงเซ็นหนังสือที่ผมเตรียมไปด้วย เขาเขียนว่า “อเล็กเซ ยิงประตูได้เยี่ยมมาก” ผมดีใจมาก ผมจับมือเขา และเขาก็เริ่มร้องไห้ เราพบกันครั้งนั้นครั้งเดียว พออีก 6 เดือนต่อมา เขาก็จากโลกนี้ไป”
สเมอร์ติน ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลในปี 2008 หลังจากที่ผ่านการเล่นมาแล้วทั้ง เชลซี, พอร์ทสมัธ, ชาร์ลตัน, ดินาโม มอสโก และ ฟูแล่ม เป็นทีมสุดท้าย ก่อนตัดสินใจกลับบ้าน และเลือกเข้าสู่วงการ การเมืองของรัสเซีย ก่อนที่จะกลับมาทำงานให้กับ สหภาพนักเตะรัสเซีย ในฐานะของ ผู้บริหารด้านสังคม และการพัฒนาผู้เล่น ที่เขามีส่วนสำคัญในการทำงานเกี่ยวกับการต่อต้านการเหยียดผิว ที่มีขึ้นบ่อยครั้งในรัสเซีย และเขายังคงมีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยม โดยในปี 2021 เขาเพิ่งลงแข่ง “อัลตร้ามาราธอน” กับการวิ่งท่ามกลางความหนาวเหน็บกับอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส ในระยะทาง 700 กิโลเมตร ภายในเวลาทั้งหมด 11 วันด้วยกัน
“เรามีการรวมกลุ่มสำหรับการวิ่ง หรือว่าเดินกันเฉลี่ยวันละ 80 กิโลเมตร เฉลี่ยวันละ 20 ชั่วโมง มันเป็นการแข่งขันแบบทีม ทีมละ 5 คน นอกจากนี้ผมยังคงวิ่งมาราธอนต่อเนื่อง มาตลอดหลายปี เป้าหมายของผมต่อจากนี้คือการวิ่งตั้งแต่ มอสโก ไปยัง เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ให้ได้สักครั้ง”
“ร่างกายผมยังคงยอดเยี่ยม ไม่ต่างจากสมัยเป็น นักเตะ อาชีพ ผมไม่สูง ผมไม่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น แต่หัวใจผมเป็น นักสู้ 100 % และนั่นคือศักยภาพของผม ที่ผมได้มันมาจากบ้านเกิด…ไซบีเรีย ดินแดนที่ผมรัก”