รอย ฮอดจ์สัน (73 ปี เริ่มคุมทีมครั้งแรกในปี 1976) ผู้จัดการทีมคริสตัล พาเลซ คือผู้จัดการทีมที่อายุมากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ และถือครองสถิติเป็นผู้จัดการทีมที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ ลีก ยืนหนึ่ง แซงหน้า เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ผู้ล่วงลับ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดโค้ชของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปนานแล้ว
ด้วยอายุงานที่มากถึง 45 ปี ผ่านการคุมทีมมาแล้วมากมายทั้งในอังกฤษ และในอีกหลายสโมร ในยุโรป หรือในตะวันออกกลาง อย่างเช่น ลิเวอร์พูล, ฟูแล่ม, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส หรือกระทั่ง มัลโม่, โคเปนเฮเก้น อูดิเนเซ่ หรือว่า อินเตอร์ มิลาน รวมถึงเคยก้าวถึงจุดสูงสุดในความภาคภูมิใจของชีวิตกับการรับงาน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในช่วงปี 2012-2016, ทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ ที่เขาพาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 1994 รวมถึงกับทีมชาติฟินแลนด์ในช่วงปี 2006 เรียกว่าตลอดชีวิตการทำงาน “ปู่รอย” ลิ้มรสประสบการณ์ในงานคุมทีมมาหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยวัยที่มากขึ้น อาจจะเป็นปัญหาสำหรับการทำงานที่ว่ากันว่า เครียดที่สุดอาชีพหนึ่ง และมีความเสี่ยงในการตกงานสูงมาก อย่างไรก็ตามนั่นไม่เท่ากับ “ผลงาน” ของคริสตัล พาเลซ ซึ่งมารับงานในช่วงต้นฤดูกาล 2017-2018 แทนที่ของ แฟรงค์ เดอ บัวร์ และปีแรกของเขาจบด้วย พาเลซ รั้งอันดับ 11 (44 คะแนน) ตามด้วยปีต่อมาอันดับ 12 (49 คะแนน), 14 (43 คะแนน) และฤดูกาลล่าสุดปีที่ 4 ของเขาเหลืออีกสามเกม พาเลซ อยู่ในอันดับ 13 (41 คะแนน) รอดตกชั้นแล้ว เป็นฤดูกาลที่ 9 ติดต่อกันที่อยู่ในลีกสูงสุด แต่หากมองถึงระยะห่างคะแนน พาเลซ นำ ไบร์ทตัน ทีมอันดับ 17 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ในฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายกับการระบาดของไวรัส โควิด – 19 ที่ส่งผลต่องบประมาณการทำทีม การเตรียมทีม และการไม่มีผู้ชมเข้าสนามแทบทั้งฤดูกาล
รอย ฮอดจ์สัน เหลือสัญญากับ คริสตัล พาเลซ จนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ และยังไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่
“ผมจะบอกให้ทุกคนทราบเมื่อถึงตอนจบฤดูกาล และจะไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะถึงเวลาที่ผมต้องการจะบอกกล่าวเรื่องนี้” ฮอดจ์สัน กล่าวในเรื่องของอนาคตของตนเอง
แม้ว่าจะรอดตกชั้น ในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดเยอะมาก แต่สุดท้ายแล้ว การประเมินผลงานของ ฮอดจ์สัน ตลอดที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า “เสมอตัว” เมื่อดูจากอันดับแล้ว พวกเขาอยู่ประมาณกลางตารางมาโดยตลอด แต่สำหรับมุมมองสโมสรแล้ว พวกเขาพอใจระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากเป็นไปได้ก็หวังว่าจะดีกว่านี้ ไม่มีใครอยากจะพอใจเพียงเท่านี้ ในเมื่อมองไปด้านบน มันยังมีเส้นทางให้เดินต่อไปได้
เมื่อ รอย ฮอดจ์สัน พิสูจน์ด้วยผลงานแล้วว่าอยู่ในระดับไหน กอปรกับ อายุที่มากขึ้นของเขา ทำให้ พาเลซ อาจมองหาทางเลือกใหม่ เพื่อหวังว่าทีมจะมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม ส่วนจะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นวัฏจักร ในวงการฟุตบอลที่ทุกสโมสรต่างผ่านกันมาหมดแล้วทั้งสิ้น กับการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้
ในอีกด้านหนึ่งของสโมสร คริสตัล พาเลซ ก็มีเรื่องที่ต้องการจัดการก็คือเรื่องของการเงิน งบประมาณในทีม และปัญหาสัญญาใหม่ของ นักเตะ ที่มีมากถึง 16 คน ที่กำลังจะหมดสัญญาพร้อมกับ รอย ฮอดจ์สัน ในช่วงกลางปีนี้ และหลายคนในนั้นคือตัวหลักของทีมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น พาทริค ฟาน ฮานโฮลต์ (30 ปี), แอนดรอส ทาวน์เซ่น (29 ปี), เจมส์ แมคคาร์ธี่ (30 ปี), เจมส์ แมคอาเธอร์ (33 ปี) หรือว่า คริสติยอง เบนเตเก้ (29 ปี) นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ซื้อมาด้วยราคา 28 ล้านปอนด์ เป็นต้น ซึ่งหน้าร้อนนี้ สตีฟ แพร์ริช ประธานสโมสร และบอร์ดบริหารคงจะมีงานให้ทำรออีกเพียบ ซึ่งแน่นอนที่สุดเรื่องของ ผู้จัดการทีม ควรเป็นเรื่องแรกที่ต้องจัดการก่อนนักเตะ เพราะจะส่งผลเยอะต่อความเชื่อมั่นของ นักเตะ ในทีมหรือการเข้ามาของ นักเตะ ใหม่ในอนาคต
รายงานจากสื่ออังกฤษ มีการเล่นประเด็นกันค่อนข้างสูงว่า คริสตัล พาเลซ จะมีการพูดคุยกับ ฮอดจ์สัน ในเรื่องสัญญาที่พวกเขาอาจจะเลือกไม่ต่อสัญญาออกไป และมองหานายใหญ่คนใหม่เข้ามาสู่ทีม โดยชื่อของ แฟรงค์ แลมพาร์ต (ว่างงาน) ที่เพิ่งถูกเชลซีปลดออกมาเป็นหนึ่งในชื่อที่สร้างกระแสได้พอสมควร รวมถึง ฌอน ไดซ์ (เบิร์นลีย์), วาเลเรียง อิสมาแอล (บาร์นสลีย์) อดีตนักเตะบาเยิร์น มิวนิค รวมถึง สตีฟ คูเปอร์ (สวอนซี ซิตี้) อยู่ในข่ายด้วย ซึ่งพวกเขาต้องพิจารณากันในหลายเรื่อง ทั้งแง่ของประสบการณ์, ข้อเรียกร้อง และข้อเสนอที่โค้ชใหม่ต้องการ รวมถึงสถานการณ์ทางการเงินของตัวสโมสรเองด้วย ประกอบกันทั้งหมด แน่นอน เป้าหมายหลักยังคงเดิม ขั้นต่ำคือต้องรอดตกชั้นเป็นอันดับแรก
คริสตัล พาเลซ เหลืออีกสามเกมในพรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาลนี้ โดยเกมที่ 37 จะเป็นเกมสุดท้ายในสนาม เซลเฮิร์ท พาร์ค รังเหย้าของทีม ซึ่งจะพบกับ อาร์เซนอล โดยจะมีผู้ชมบางส่วนได้เข้าสนามด้วย และหากเป็นเกมสุดท้ายของ รอย ฮอดจ์สัน กับ พาเลซ เขาจะได้มีโอกาสบอกลาแฟนบอลอย่างเต็มตัว กับบรรยากาศที่ขาดหายไปมากกว่าหนึ่งปี
ปล่อยให้หลังจากนั้นเหลือไว้เพียงความทรงจำที่ดีสำหรับชายผู้ได้รับการจารึกว่า อายุมากที่สุดในสังเวียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกฟุตบอลที่ชื่อว่า พรีเมียร์ ลีก และสถิตินี้จะคงอยู่อีกนาน เมื่อวงการฟุตบอล ณ เวลานี้ ถึงเวลาของผู้จัดการทีม สายเลือดใหม่ ที่เข้าสู่วงการกันหลายต่อหลายคนในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และแม้ ณ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาแห่งการบอกลา แต่สำหรับชีวิตการคุมทีมของเขา มันเกินคำว่า “บั้นปลายอาชีพ” มานานแล้ว นับจากนี้คือเรื่องของ “ความสุข” และ “ความมุ่งมั่นในหัวใจ” ว่าเขาจะยังมีมันมากน้อยแค่ไหนกับ “บั้นปลายชีวิต” ที่เหลืออยู่ของชายคนนี้…รอย ฮอดจ์สัน