*ภายในบทความจะมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของเนื้อเรื่อง โดยคุณสามารถรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ทาง Netflix
หากการยิงจุดโทษพลาดของ ดาบิด เด เคอา นายทวาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมยูโรป้า ลีก รอบชิงชนะเลิศ กำลังเป็นที่พูดถึงในเวลานี้ แต่เชื่อเถอะว่า วันเวลาผ่านไป เรื่องราวของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ฟุตบอล ที่อาจจะเป็นเพียงภาพจำเมื่อคิดถึง แต่จะไม่ได้ตราตรึงแฟนบอลเท่ากับเรื่องของการพลาดจุดโทษของเขาคนนี้อย่างแน่นอน
โรเบร์โต้ บาจโจ้
การพลาดจุดโทษของ บาจโจ้ ในเกมฟุตบอลโลก รอบชิงชนะเลิศ ปี 1994 ในเกมพบกับทีมชาติบราซิล กลายเป็นเรื่องราวที่คนทั้งโลกไม่เคยลืม และส่งผลต่อชีวิตของเขาตลอดเวลาที่เหลืออีก 10 ปีจนกระทั่ง เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในปี 2004 แต่ในเวลาเดียวกัน ฟุตบอลโลก 1994 ก็สร้างชื่อเสียงให้ บาจโจ้ เป็น นักเตะ ที่แฟนบอลทั้งโลกรู้จัก และหลงรักเช่นกัน
Baggio: The Divine Ponytail (ชื่อในภาษาอิตาเลี่ยน Baggio: IL Divin Codino) เป็นเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวของ “โรบี้” โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น สมัยเป็น นักเตะเยาวชนของสโมสร วิเชนซ่า ในเซเรีย ซี ก่อนที่จะย้ายมาเล่นกับ ฟิออเรนติน่า ด้วยค่าตัวมหาศาลในเวลาต่อมา พร้อมกับอาการบาดเจ็บหนักครั้งแรกในชีวิต และก้าวไปสู่การเป็น นักเตะ ทีมชาติอิตาลี และแน่นอนรวมถึงเหตุการณ์การพลาดจุดโทษในฟุตบอลโลก ปี 1994
——————-บางส่วนนับจากนี้มีการ สปอยล์ เนื้อหาบางส่วน——————
——————-บางส่วนนับจากนี้มีการ สปอยล์ เนื้อหาบางส่วน——————
——————-บางส่วนนับจากนี้มีการ สปอยล์ เนื้อหาบางส่วน——————
——————-บางส่วนนับจากนี้มีการ สปอยล์ เนื้อหาบางส่วน——————
——————-บางส่วนนับจากนี้มีการ สปอยล์ เนื้อหาบางส่วน——————
ผู้สร้างบอกเล่าเรื่องราวในแบบตามไทม์ไลน์ของชีวิต บาจโจ้ แต่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวตามขั้นตอน แต่มีการข้ามหลายช่วงเวลาของเขาไป ไม่ว่าจะเป็นตอนเล่นกับ ยูเวนตุส หรือว่าการก้าวไปยังสู่จุดสูงสุดกับการคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปี 1993 ที่แทบจะหายไปแบบไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตจริง รวมถึงหลังจาก ฟุตบอลโลก 1994 ที่กลายเป็นหนังชีวิตฉากใหญ่ของเขา
โดยปมของเรื่องทั้งหมดมุ่งเน้นไปในหลายประเด็นคือ
ในส่วนของงานโปรดักชั่น กำกับโดย เลติเซีย ลามาร์ติเร ผู้กำกับหญิงชาวอิตาเลียน เธอเลือก อันเดรีย อาร์คันเยลี่ นักแสดงหนุ่มอิตาเลี่ยน วัย 27 ปี เข้ามารับบทบาทเป็น โรเบร์โต้ บาจโจ้ ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อผ่านการแต่งหน้า และเซตบุคลิกแล้ว มีความคล้ายคลึงกับ โรบี้ ในวัยหนุ่มจนถึงช่วงสุดท้ายของอาชีพการเล่นฟุตบอลมาก ขณะที่นักแสดงที่รับบทเป็น อาร์ริโก้ ซาคคี่ ก็ค่อนข้างคล้ายคลึง
อย่างไรก็ตามในส่วนของการบอกเล่าเรื่อง Baggio: The Divine Ponytail กลับมุ่งเน้นไปในเรื่องของปมเรื่องราวของชีวิตส่วนตัวของ บาจโจ้ มากกว่าจะบอกเล่าถึงผลงานในสนามอันยอดเยี่ยมตลอดชีวิตของเขา ที่สำคัญที่สุดคือ ภาพยนตร์พยายามยัดเยียดว่า “บาจโจ้เก่งมาก มีคนรักมากมาย แต่กลับไม่ได้บอกหรือทำให้เห็นภาพว่าเขาเก่งอย่างไร แค่บอกเพียงไม่กี่วินาทีว่า เขาได้ บัลลงดอร์ ในปี 1993 และฉากที่ตัดสลับไปมาไม่กี่นาที”
ในส่วนของ ฟุตบอลโลก 1994 และการพลาดจุดโทษ ซึ่งเป็นไฮไลท์หลักของชีวิตเขา กลับถูกบอกเล่าจนหมดตั้งแต่กลางเรื่องไปแล้ว และมันก็ถูกใช้ไปในแบบเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว มากกว่าจะเป็นจุดสำคัญของเรื่อง และเน้นไปโฟกัสถึงเรื่องราวหลังความผิดพลาด กับความพยายามในการกลับมาของเขา ซึ่งก็ดันข้ามเรื่องราวไปหลายส่วนอีกเช่นกัน โผล่มาอีกครั้งคือ การย้ายมาเล่นกับ เบรสชา ซึ่งเป็นสโมสรสุดท้ายของเขา ที่หนังเล่นประเด็นถึงความสุขในการเล่นฟุตบอลในช่วงท้ายชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขา ในวัย 33 ปี
งานฉากในสนามฟุตบอล มีน้อยมากเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น เช่นเดียวกับ ตัวประกอบที่เป็น นักเตะ ในทุกทีมที่ บาจโจ้ ลงเล่นก็เรียกว่าเป็น ตัวประกอบ อย่างแท้จริง ทั้งที่นี่คือเรื่องของ นักเตะ ระดับโลก ถ้าไม่นับช่วงฟุตบอลโลก 1994 ที่เหลือใส่มาน้อยมาก เราจะเห็นการพูดคุยในบ้าน พูดคุยกับ ครอบครัว และภรรยา หรือกระทั่งเพื่อนสนิท ของเขาเสียเป็นส่วนใหญ่
สำหรับใครที่คาดหวังจะเห็นความเก่งกาจของ “เทพบุตรเปียทองคำ” จากเรื่องนี้ หรือฟุตเทจเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของเขา อาจจะผิดหวังพอสมควร เพราะมันไม่ได้บอกเล่า หรือใส่อะไรลงมามากขนาดนั้น เช่นเดียวกับการได้เห็นถึงความสัมพันธ์นอกสนาม เกี่ยวกับเพื่อนร่วมทีม หรือว่าเรื่องราวในสนามอื่น ๆ ต้องบอกว่าแทบไม่มีเลย เพราะทั้งหมด เรื่องราวเน้นไปที่ตัวเขา และปมเรื่องราวของเขาทั้งหมด บอกเล่าผ่านตัวเขา ครอบครัว และคนสนิท เป็นสำคัญ
ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ในฐานะแฟนบอลที่รัก โรเบร์โต้ บาจโจ้ คนหนึ่ง มีความเห็นว่า Baggio: The Divine Ponytail ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวที่ แฟนบอล อยากจะเห็น แต่เลือกเล่าเรื่องราวของชายชื่อ โรเบร์โต้ บาจโจ้ ที่เราไม่เคยเห็น หรือไม่เคยรู้มาก่อนมาก่อน เพียงแต่ว่า มันโดดข้ามไปมา รวบรัดตัดตอน ถ้าคนที่ไม่รู้จัก หรือเกิดไม่ทันช่วงเวลาที่ บาจโจ้ ลงเล่น จะไม่สนุกเลย เพราะจะตามไม่ทันกับเนื้อหา เช่นเดียวกับ คนที่เกิดทันก็จะรู้สึกเสียดายว่า “มันน่าจะมีแบบนั้น” “ตรงนี้ทำไมไม่มี” อย่างแน่นอน
สรุปแล้ว ส่วนตัวมองว่า ภาพยนตร์ เรื่องนี้ บอกเล่าอีกด้านหนึ่งของ บาจโจ้ ที่คุณอาจไม่ถูกใจเท่าไรนัก เมื่อภาพยนตร์จบลง แต่หากเป็นแฟนคลับของ โรบี้ อย่างไรก็อยากให้รับชมสักครั้ง แค่เสียดายที่ว่า มันไม่เต็มอิ่ม ไม่อิ่มเอม ให้หายคิดถึง เพราะใจความสำคัญที่ทำให้เขาเป็นที่รักของทั้งโลกคือ การเป็น “นักฟุตบอลอาชีพ” ขวัญใจของคนทั้งโลก มันถูกบอกเล่าออกมาน้อยเกินไปนั่นเอง