อาร์เซนอล กลายเป็นอีกหนึ่งสโมสรที่ต่อยอดในเรื่องของการทำงานเพื่อสังคม ในกรณีเกี่ยวกับการ Cyber Bullying หรือ Online Abuse ซึ่งกระจายไปในวงกว้างทั่วสังคมออนไลน์ ณ.เวลานี้
การดูถูกเหยียดสีผิว เชื้อชาติ ไปจนถึงการด่าทอให้เจ็บปวด กลายเป็นสิ่งที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมนุษย์รู้จักใช้งาน สังคมออนไลน์ กันในวงกว้าง และการแสดงความคิดเห็น กลายเป็น การระบายอารมณ์ เข้ามาแทนที่ จนกระทั่งในระยะหลังความไม่พอใจในโลกออนไลน์ เริ่มออกไปสู่การกระทำในโลกความเป็นจริง อย่างที่เราทราบข่าวกันในหลายประเทศ เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย เป็นต้น
ในวงการฟุตบอล นักเตะ อาชีพ เป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่โดนการ Cyber Bullying อยู่บ่อยครั้ง เมื่อผลงานส่วนตัว หรือผลงานของทีม ไม่เป็นที่พอใจของใครสักคนหนึ่ง พวกเขาก็พร้อมจะพิมพ์ข้อความกระหน่ำด่าเข้ามาอย่างรุนแรง ลามปามไปจนถึงครอบครัวของ นักเตะ ก็โดนไปด้วย และคนส่วนมากที่ทำแบบนี้ มักจะใช้งานบัญชี เฟสบุ๊คปลอม หรือ ทวิตเตอร์ปลอม เพื่อไม่ให้ใครทราบว่าตนเองเป็นใคร เพื่อให้สามารถทำเรื่อง “ด้านมืด” ที่ไม่อยากให้คนในสังคมในโลกความเป็นจริงของตนทราบว่าตนเองเป็นอย่างไร นี่คือความดำมืดของสังคม ที่เราต้องอยู่กับมัน สังคมที่ เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่จิตใจของผู้คนตกต่ำลง
วิไน เวนกาเทสเซม ผู้บริหารคนสำคัญของอาร์เซนอล กล่าวว่า เขาได้มีการพูดคุยกับ เอียน ไรท์ อดีตนักเตะ อาร์เซนอล เกี่ยวกับสถานการณ์การเหยียดที่เกิดขึ้น ก่อนที่สโมสรจะมีการประกาศ แคมเปญ #StopOnlineAbuse ออกมาเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเป้าหมายในการให้ผู้คนได้ทราบถึง ความเลวร้ายในสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมโลก
เวนกาเทสเซม ยอมรับว่าเขาได้รับข้อมูลจำนวนมากจาก นักเตะ และทีมงาน อาร์เซนอล ว่าพวกเขาทุกคนต่างเคยโดนการดูถูก หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล บ่อยครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา และหลายคน โดนอย่างหนัก อย่างเช่น เอ็ดดี้ เอนเคเธีย, กรานิท ชาก้า รวมถึง แบนด์ เลโน่ ซึ่งเคยเป็นข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ก็มีอีกหลายเคส ซึ่งไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น และมันยังคงเกิดขึ้นต่อไป
อาร์เซนอล มีการวางแผนในเรื่องของการจัดการในเรื่องนี้ เริ่มต้นจากการให้ความรู้กับคนภายในองค์กร เป็นอันดับแรก พร้อมกับการกระจายความรู้ไปยังชุมชนท้องถิ่นของพวกเขา ควบคู่ไปกับการทำงานของสโมสร ผ่านทางแพลตฟอร์มที่มีทั้งหมดที่สโมสรเข้าร่วม เพื่อผลักดันให้เกิดการดำเนินการเป็นรูปธรรม จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไปจนถึงผู้ให้บริการสังคมออนไลน์ เพื่อหาบทลงโทษขั้นรุนแรงจากการกระทำดังกล่าว โดย เวเทกาสเซม เชื่อว่า Online Abuse หากไม่มีการจัดการให้ชัดเจน มันจะกลายเป็นเรื่องที่รุนแรงขึ้นจนถึงจุดที่หลายเป็นเรื่องราว นอกสังคมออนไลน์
“เรามุ่งมั่นกับการทำงานในเรื่องนี้ร่วมกับ พรีเมียร์ ลีก และพันธมิตรอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Kick it out, FA, PFA รวมถึงตำรวจในการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากวงการฟุตบอล เอียน ไรท์ เป็นหนึ่งคนที่เข้ามาคุยกับผม เขาบอกกับผมว่า ทุกวันนี้การเหยียด การดูถูกกัน กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติ และนั่นทำให้ผมคิดว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ”
“เราอยู่ในปี 2021 และคนอย่าง เอียน ไรท์ ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มันกลายเป็นว่า หากคุณไปที่ไหนก็ตาม และคุณเป็น นักเตะ ผิวสี คุณต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่ว่า คุณลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก และคุณต้องโดนเหยียดสีผิว บนสังคมออนไลน์ได้ด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งของงานแบบนั้นเหรอ? เรามาถึงจุดนี้กันแล้ว และต้องยอมรับแบบนั้นหรือ”
“ผมเบื่อมากที่ทุกวันนี้ นักเตะ อาร์เซนอล ต้องโดนเหยียดผิว ดูถูกจากคนในสังคมออนไลน์ และเราจะไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ อาร์เซนอล กำลังเขียนรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เรารังเกียจมันแค่ไหน และมันต้องไม่เกิดขึ้นอีก ที่ผ่านมา เราออกแถลงการณ์หลายต่อหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราจะต้องทำอะไรมากกว่านั้น”
“ผมเรียก นักเตะ ทุกคนทั้งทีมชาย และทีมหญิงมาคุยกัน ว่าพวกเขาเจออะไรมาบ้าง และเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสโมสรก็เช่นกัน พวกเขาก็เป็นอีกกลุ่มคนที่โดนเรื่องแบบนี้”
ก่อนหน้าที่จะ อาร์เซนอล จะประกาศแคมเปญดังกล่าว เธียร์รี่ อองรี กลายเป็นคนแรก ๆ ที่ประกาศถึงความไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ ด้วยการประกาศปิดสังคมออนไลน์ทั้งหมดของตนเอง และอาร์เซนอล ก็สนับสนุนในเรื่องนี้ แม้ว่า ปืนใหญ่ จะไม่สามารถทำตามแบบอองรีได้ก็ตาม แต่พวกเขาก็อยากให้สังคมออนไลน์ดีขึ้น พร้อมกับหาทางเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น
วิลฟรีด ซาฮา เป็นอีกหนึ่งคนที่แสดงออกถึงความไม่พอใจกับการเหยียดผิวที่ยังคงมีต่อไป เขาตัดสินใจไม่คุกเข่า ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น เพราะเขาไม่คิดว่า การคุกเข่า เพื่อแสดงสัญลักษณ์ Black Live Matter จะช่วยให้อะไรมันดีขึ้น เช่นเดียวกับที่ ยูฟ่า ก็เพิ่งมีเรื่องวุ่นวายจากกรณี ออนเดร คูเดล่า ทำการเหยียดผิว เกล็น กามาร่า อดีต นักเตะ อาร์เซนอล ในเกมที่ สลาเวีย ปราก พบกับ เรนเจอร์ส ในเกม ยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ที่ผ่านมา อาร์เซนอล เป็นหนึ่งในสโมสรที่พยายามในเรื่องของการอยู่ร่วมกันของ แฟนบอล ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เพศใดก็ตาม พวกเขามีการยอมรับการก่อตั้งกลุ่ม GAYGOONERS กลุ่มแฟนบอล LGBTQ+ เป็นกลุ่มแรกของประเทศ เพื่อให้พวกเขาได้มีพื้นที่จากสโมสร ในการเข้ามาชมเกมการแข่งขัน หรือมีความสุขในการเป็นแฟนบอลอาร์เซนอล และวันนี้พวกเขายังคงต้องพยายามให้มากขึ้นกับปัญหาสังคมในลักษณะเดียวกันที่รุนแรงมากขึ้นในวงกว้าง
“มันเป็นงานที่ทีมงานทุกคนต้องทำอย่างหนัก และเราจะมาวัดผลของมันว่าสุดท้ายแล้ว ผลมันออกมาเป็นอย่างไร เราจะทำงานกันในเชิงรุก เช่นเดียวกับการทำงานร่วมกับ บริษัทที่ดูแลสังคมออนไลน์ ที่เราต้องการ การสนับสนุนของพวกเขาอย่าจริงจัง เพื่อให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้”
“เราไม่ต้องการให้เรื่องนี้ ถูกมองว่าเป็นแค่ข่าวประชาสัมพันธ์ของสโมสร หรือแถลงการณ์แล้วผ่านไป เราต้องการให้มันเป็นข้อความที่ชัดเจนว่า ต่อจากนี้ เราจะทำงานหนักเพื่อจัดการในเรื่องนี้ให้ได้”